เมนู
หมวดหมู่

ท่านพ่อสุ่น ธมฺมสุวณฺโณ วัดปากน้ำแหลมสิงห์ ต.ปากน้ำฯ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี

01 เม.ย. 2023

ท่านพ่อสุ่น นามเดิมว่า สุ่น นามสกุล เวชภิรมณ์ เกิดที่ ตำบลบางสระเก้า อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เกิด ณ วันพฤหัสบดี เดือน เมษายน พ.ศ. 2393 บิดาชื่อ บุตร มารดาชื่อ ปลิว มีน้องชาย1 คน ชื่อ อุ่น น้องสาว 1 คน ชื่อ อ่ำ

ท่านพ่อสุ่น เมื่อเยาว์วัยท่านมีใจบุญกุศลยิ่งนัก พูดได้ว่าเกิดมาท่านไม่เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ว่าได้ เพื่อนเด็กรุ่นเดียวกันชวนท่านไปยิงนกบ้าง ตกปลาบ้าง ท่านพ่อท่านก็จะไม่ไปด้วยและยังบอกสั่งสอนอีกว่ามันเป็นบาปกรรม ท่านพ่อท่านได้ศึกษาเล่าเรียนอักขระในสำนักวัดบางสระเก้ากับอาจารย์ และพออายุครบอุปสมบท บรรดาญาติจึงจัดการบรรพชาอุปสมบทให้ในวัดนั้น พระเทียน วัดกลาง ตำบลพลิ้ว เป็นอุปัชฌาย์ ท่านพ่อสุ่นเมื่อบวชเป็นภิกษุแล้ว ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมกับขรัวตาจัน เจ้าอาวาสวัดบางสระเก้าในสมัยนั้น ขรัวตาจันผู้นี้เป็นผู้เรืองวิชายิ่งนัก เล่าสืบทอดกันมาว่าสมัยก่อนการคมนาคมต้องไปทางเรือ ขรัวตาจันท่านมีธุระโดยใช้เรือไป และระหว่างทางเรือท่านโดนโจรสลัดปล้น โจรสลัดใช้ปืนยิงเรือท่าน ยิงทีแรกลูกปืนก็ตกเกือบถึงเรือท่าน ยิงครั้งที่ 2 กลิ้งตกใกล้กระบอกปืนเข้ามา ส่วนเรือท่านก็ยังวิ่งเข้าหาเรือโจรสลัดนั้น พวกโจรยิ่งยิง กระสุนปืนก็ยิ่งตกใกล้กระบอกปืนมากเข้า จนในที่สุดก็ตกอยู่หน้ากระบอกปืนเป็นที่มหัศจรรย์นัก ขรัวตาจันองค์ท่านมีวิชาอาคมของท่านรอบตัว และท่านโปรดท่านพ่อสุ่น ยิ่งนัก จึงได้ถ่ายทอดวิชาอาคมให้จนหมด และโยมบุตรบิดาท่านพ่อสุ่น ก็เก่งทางวิชาอาคมยิ่งนักได้ถ่ายทอดให้ท่านจนหมดเช่นกัน

ท่านพ่อสุ่น เมื่อบวชได้ 5 พรรษา ทางวัดปากน้ำแหลมสิงห์ เจ้าอาวาสก็ว่างลง ชาวบ้านปากน้ำแหลมสิงห์ สมัยนั้นจึงพร้อมใจกันไปนิมนต์ท่านมาจากวัดบางสระเก้า ให้ท่านมารับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์ แล้วท่านก็ปกครองวัดเรื่อยมา และบูรณปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมเสนาสนะทำนุบำรุงวัดเป็นการใหญ่ สั่งสอนภิกษุสามเณรให้ประพฤติดีงามตามพระธรรมวินัย และมิได้มีแต่เพียงวัดปากน้ำแหลมสิงห์ เท่านั้น วัดท่าหัวแหวนท่านยังรับเป็นธุระช่วยบูรณะปฎิสังขรณ์และก่อสร้างขึ้นอีก หลายอย่าง อุโบสถ วิหารการเปรียญซึ่งปรากฏอยู่ วัดท่าหัวแหวนทุกวันนี้เกิดขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านเสียโดยมาก ลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิดเล่าว่า ท่านพ่อสุ่น ท่านเป็นพระที่มีวิชาอาคมเข้มขลังมาแต่หนุ่มๆแล้ว ท่านพ่อเป็นที่เคารพนับถือของชาวอำเภอแหลมสิงห์และอำเภอใกล้เคียงตลอดจนชาว จันทบุรี ในสมัยนั้นมาก และท่านเป็นผู้เคร่งในพระธรรมวินัยยิ่งนัก ตี 4

ท่านลุกขึ้นครองผ้าสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน กวาดลานวัดเป็นกิจประจำวันไม่ว่าในพรรษาหรือออกพรรษา ท่านสนใจและรอบรู้พระธรรมวินัยอย่างดี ปกติท่านเป็นพระที่ใจดีและคุยสนุกเมตตาอารีผู้อื่นอยู่เสมอ ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยสมัยนั้นทุกคน

ท่านพ่อเมื่อมาถึงช่วงนี้ ท่านก็ได้รับหนังสือแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดสมัยนั้น คือท่านเจ้าเอ๋ง วัดเขาพลอยแหวน จันทบุรี แต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าคณะแขวง (เจ้าคณะอำเภอ) แต่ท่านไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ ท่านจึงชวนลูกศิษย์ท่านลงเรือใบใหญ่ของวัดหนีไป เพราะวัดของท่านมีเรือลำใหญ่และเล็กหลายลำ โดยท่านกะว่าจะไปบางกะสร้อย (บางปลาสร้อย) จังหวัดชลบุรี (ท่านผู้อ่านครับช่วงนี้เรื่องของท่านจะเริ่มใช้วิชาอาคมของท่านเป็นที่เปิดเผยแล้ว และได้ค้นคว้าประวัติท่านมาร่วม 6 – 7 ปี สืบเสาะค้นคว้าจดจำบันทึกพยานหลักฐานต่างๆ จากคนเฒ่าคนแก่ จากลูกศิษย์ท่านเป็นสำคัญ รวมทั้งบันทึกที่ทางวัดปากน้ำแหลมสิงห์ มี และของทางวัดบางสระเก้า วัดเก่าของท่านรวมกันแล้วจึงนำมาเรียบเรียงเขียนขึ้น ลูกศิษย์ที่เป็นเจ้าอาวาสมี 3 องค์ และเป็นวัดที่อยู่ในอำเภอเดียวกัน คือ

1. พระครูประจักษ์ยติคุณ (ท่านพ่อหุน) อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าหัวแหวน 
2. พระครูจันทศิลคุณ (ท่านพ่ออวน) อดีตเจ้าอาวาสวัดเกาะเปริด 
3. พระครูประศาสน์สิทธิการ (ท่านพ่อเฮ้า) อดีตเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์ 
ลูกศิษย์ท่านพ่อสุ่น ที่ให้ข้อมูลสำคัญๆ คือ 
1. นายแหม ฉวีวรรณ
2. นายแถน ผ่องแผ้ว
3. นายอุปถัมป์ บุญชู (เป็นศิษย์ที่ใกล้ชิดท่านพ่อสุ่นมากที่สุด)
4. นายพัฒน์ มีรส (เป็นผู้เลี้ยงวัวของท่านพ่อสุ่น)
5. นายผลิ เนินริมหนอง
นายผลิ เนินริมหนอง ได้จดคำบันทึกการบอกเล่าของนายแผด เนินริมหนอง ซึ่งเป็นบิดา และผู้เฒ่าผู้
แก่ ไว้หลายคน

เมื่อท่านลงเรือหนีไปบางกะสร้อย(บางปลาสร้อย) จังหวัดชลบุรี

 ท่านพ่อสุ่น เมื่อท่านลงเรือหนีไปบางกะสร้อย(บางปลาสร้อย) จังหวัดชลบุรี นั้น อายุท่านอยู่ในราวๆ 35-37 ปี โดยประมาณ ลูกศิษย์ที่ไปกับท่านมี 3 คน และเมื่อกลับมาพวกลูกศิษย์ท่านจึงได้มาเล่าเรื่องสืบขานกันมาทุกวัน ดังนี้ ท่านพ่อกับลูกศิษย์เมื่อเดินทางกันไป เสบียงในเรือก็หมดลง และสตางค์ที่จะซื้อเสบียงอาหารก็จะหมดเช่นกัน (ท่านผู้อ่านหลับตาวาดภาพก็คงจะนึกออกว่าเมืองจันทบุรี กับเมืองชลบุรี นั้น สมัยนั้นไกลกันมิใช่น้อย และเรือที่ท่านใช้ก็เป็นเรือใบ เรือใบนั้นถ้าลมไม่ดีเปลี่ยนทิศทางก็ไปไม่ได้ต้องหยุดพักทอด สมอรอจนลมมาดีจึงจะกางใบเรือเดินทางได้ ดังนั้นการเดินทางจึงต้องใช้เวลานานหลายวัน) เพราะเป็นการมากระทันหันไม่ได้เตรียมอะไรมาก่อน ลูกศิษย์ทั้ง 3 คน จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี หนึ่งใน 3 คนนั้นจึงออกหัวคิดว่า เมื่อเรือแวะพักฝั่งแล้วก็จะพากันขึ้นไปบนฝั่งหาแทงโปกัน เพื่อจะได้เงินมาเป็นทุนซื้อเสบียงอาหารลงเรือเดินทางกันต่อไป อีกคนก็ค้านว่า ถ้าไปแทงโปแล้วไม่ถูกเงินหมดจะทำอย่างไรกันดี คนที่ออกหัวคิดก็ว่า มึงอยู่เป็นลูกศิษย์ท่านมาตั้งนานมึงไม่รู้ว่าท่านพ่อมีอาคมสามารถปิดโปได้ ถ้าเราไปขออนุญาตจากท่านว่าจะขึ้นฝั่ง
ไปแทงโปกัน ท่านพ่อท่านก็ไม่ยอมให้ไป พวกลูกศิษย์ทั้ง 3 คน ก็พากันรบเร้าอ้อนวอนท่านว่าเงินจะหมดแล้ว ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะเดินทางไปไม่ถึงบางกะสร้อยแน่ๆ ท่านพ่อท่านก็พูดว่า ” เออ : ไอ้ฉิบชิ ! มึงไปแทงได้แต่อย่าให้เกิน 3 ที ” พวกลูกศิษย์เมื่อท่านพ่ออนุญาต แล้วก็ดีใจยิ่งนักพากันขึ้นไปหาแทงโปกัน ก็แทงถูกหมดทั้ง 3 ที จึงพากันหาซื้อเสบียงลงเรือเดินทางกันต่อไปอีก เดินทางมาใกล้เกาะเสม็ด – ช่องแสมสาร เสบียงก็หมดลงอีกก็ปรึกษากันเหมือนว่า จะขึ้นฝั่งไปแทงโปกันอีก

พากันไปพูดขออนุญาตจากท่าน ท่านพ่อท่านก็ไม่ยินยอมให้ไปท่านก็ด่าว่า “ไอ้ฉิบชิ !” พวกนี้จะทำให้กูผิดศีล มันผิดมึงรู้ไหม แต่อย่างว่าพวกลูกศิษย์หายอมไม่พากันพูดเซ้าซี้อ้อนวอนท่านต่างๆนานา หนักๆเข้าด้วยความรำคาญท่านก็ว่า ” เออ : ไอ้ฉิบชิ ! มึงไปแทงอย่าให้เกิน 3 ที ” พวกลูกศิษย์ก็พากันขึ้นฝั่งไปแทงโปกัน แทง
3 ที ถูกหมดทั้ง 3 ที จึงพากันหาซื้อข้าวสารอาหารแห้งลงเรือเดินทางลงเรือกันต่อไป เมื่อเรือใบแล่นมาถึงเกาะเสม็ด – ช่องแสมสาร เรือของท่านก็โดนโจรสลัดปล้น พวกโจรพากันเอาเรือเข้าเทียบเรือท่าน พวกลูกศิษย์ก็จะพากันสู้คว้ามีดคว้าขวาน และทุกคนถือว่าตัวเองหนังดีด้วยกันทุกคน ท่านพ่อท่านก็ว่า “ไอ้ฉิบชิ” พวกมึงอยู่เฉยๆ กูจะดูซิว่าพวกมันจะทำอย่างไรกัน พวกโจรก็พากันลงเรือค้นหาเงินจากลูกศิษย์ท่านได้ 12 บาท โจรพวกนั้นเมื่อได้เงินแล้วก็พากันดีใจ พากันกลับลงเรือของตน ท่านพ่อท่านก็พูดว่า “ไอ้ฉิบชิ” มึงเอาแม้กระทั่งเงินพระเงินเจ้าแต่กูว่ามึงเอาไปไม่ได้หรอก หัวหน้าโจรก็หัวเราะแล้วว่า ทำไมจะเอาไม่ได้เมื่อเวลานี้เงินอยู่ที่ผมและพวกผมก็กำลังจะไป พอพูดเสร็จก็สั่งลูกน้องให้หันหัวเรือออก แต่พอเรือโจรออกไปได้สักหน่อย ท่านพ่อท่านก็หยิบหมากแห้งในย่ามยิงโจรด้วยคันกระสุน (ท่านพ่อท่านมีคันกระสุนประจำตัวอยู่ 1 คัน) เป็นที่น่าอัศจรรย์กระสุนหมากแห้งแท้ๆ แต่โดนโจรมันดังยิ่งกว่ากระสุนดินเหนียว เสียงดัง ปุ้ ปุ้ ท่านยิงทีเดียวเหมือนยิงเป็นสิบลูก ยิงจนโจรต้องหันหัวเรือเอาเงิน 12 บาทมาคืนท่าน เมื่อลงเรือได้ก็ก้มลงกราบท่านด้วยความหวาดกลัว เพราะในชีวิตการเป็นโจรมา เพิ่งจะมาเจอดีและเจ็บที่สุดก็วันนี้เอง ตามเนื้อตามตัวช้ำผื่นแดงไปหมด ท่านพ่อเมื่อเห็นโจรสลัดสิ้นฤทธิ์แล้ว ท่านก็พูดสั่งสอนให้เลิกเป็นโจรสลัดอย่าได้ปล้นเรือเขาอีก โจรพวกนั้นก็รับคำพากันลาท่านกลับลงเรือไป ส่วนท่านพ่อท่านก็เดินทางมาจนถึงบางกะสร้อย เมืองชล (บางกะสร้อยสมัยนั้นเปรียบเหมือนจังหวัด) และนำเรือไปจอดที่สะพานศาลเจ้า เพราะสะพานศาลเจ้าเป็นสะพานที่จอดเรือเมลย์สมัยนั้น ของเรือบางกะสร้อยคือ เรือโชคชัย, เรือไชโย ซึ่งเป็นเรือของนายอากร จิ้นหลี และเรือล่งหลี ของเจ๊กกุ้ย และอีกอย่างท่านก็คงนึกไม่ออกว่าจะไปไหนดี เพราะมาถึงใหม่ๆ พวกลูกศิษย์ท่านเมื่อเรือจอดสะพานศาลเจ้าแล้วต่างก็พากันกระหยิ่มยิ้มย่อง พากันไปขออนุญาตจากท่านว่าจะขึ้นฝั่งไปหาแทงโป ท่านพ่อเมื่อลูกศิษย์มาขออนุญาตท่านก็ยอมให้ไป เพราะเงินและเสบียงก็ยังอยู่ พวกลูกศิษย์ก็พากันพูดอ้อนวอนท่านว่า เพราะความได้ใจที่แทงโปมาตามทาง 2 ครั้งๆละ 3 ทีไม่เคยผิดเลย ท่านพ่อท่านก็คงจะทนรบเร้าของพวกลูกศิษย์ท่านไม่ไหว ท่านจึงพูดว่า “เออ : ไอ้ฉิบชิ พวกมึงไปแทงกันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแต่อย่าให้เกิน 3 ที ” พวกลูกศิษย์ท่านก็พากันขึ้นฝั่งไปแทงโปกัน ก็ถูกหมดทั้ง 3 ที จึงพากันกลับลงเรือ แต่หารู้ไม่ว่าพวกเจ้ามือโปและคนแทงได้พากันสะกดรอยตามมา (เพราะกิตติศัพท์ของพวกลูกศิษย์ท่านคงจะดังเรื่อยมาระหว่างทางว่ามีคนแปลก หน้ามากัน 3 คน มาแทงโป 3 ที ถูกหมด 3 ที แล้วพากันกลับอะไรทำนองนั้น พอลูกศิษย์ท่านพ่อลงเรือ พวกเจ้ามือก็พากันเฮโลตามลงเรือ และเมื่อเห็นท่านพ่อนั่งอยู่ในเรือ ต่างคนต่างก็ห้อมล้อมท่านจะพากันขอของดีจากท่าน ท่านพ่อท่านจึงสั่งให้ลูกศิษย์ออกเรือหนี แต่ก็ถูกพวกที่สะกดรอยมาดึงเรือไว้ไม่ให้ไปยื้อยุดฉุดกันเป็นที่อลหม่านยิ่ง นัก ส่วนบนที่ สะพานชาวบ้านละแวกนั้น เมื่อรู้ข่าวก็พากันมาที่สะพานเบียดเสียดกันจนแน่นสะพานไปหมด ต่างคนต่างก็จะลงเรือที่ท่านพ่อนั่งอยู่ จนถึงขนาดว่าเจ้าเมืองสมัยนั้นคือ “พระยาภิรมย์อุดมราชภักดี” และธรรมการจังหวัดสมัยนั้นคือ ขุนภิรามจรรยา รู้ข่าวว่าประชาชนพากันไปมุงห้อมล้อมพระองค์หนึ่งที่สะพานศาลเจ้า เจ้าเมืองและธรรมการจังหวัดพร้อมด้วยผู้ติดตามจึงรีบพากันมาที่สะพานนั้น เจ้าเมืองเมื่อไปถึงจึงรีบลงไปที่เรือที่ท่านพ่อนั่งอยู่ พอไต่ถามรู้เรื่องราวความเป็นมา เจ้าเมืองจึงนิมนต์ท่านไปฉันอาหารที่บ้าน และเจ้าเมืองจึงนิมนต์ท่านพ่อให้ไปอยู่ที่วัดต้นสน ที่บางกะสร้อยนั่นเอง เพราะวัดต้นสนสมัยนั้นอยู่หลังออฟฟิตไปรษณีย์ ติดกับโรงเรียน ชลราษฎรอำรุง เรียกว่าพอนำเรือแล่นเข้าคลองบางกะสร้อยสมัยนั้นเรือก็สามารถจอดอยู่หน้าออ ฟฟิตไปรษณีย์ได้ ด้วยเหตุนี้เอง

ท่านพ่อสุ่นท่านจึงอยู่วัดต้นสน เมืองชล ตั้งแต่นั้นมาและที่วัดนี้เองต่อมาท่านได้บวชพระองค์หนึ่งชื่อพระภู ท่านอยู่จนพระภูเป็นพระปลัดภู (ราวๆ 5 – 6 ปี) ท่านก็กลับแหลมสิงห์ วันที่ท่านจะกลับนั้นพระปลัดภูจะไม่ยอมให้กลับร่ำอาลัยในตัวท่านยิ่งนัก แต่นิสัยท่านพ่อท่านเป็นคนจริงลงว่าท่านจะกลับ ท่านก็ต้องกลับของท่านให้ได้ พระปลัดภูเมื่อเห็นว่าหน่วงเหนี่ยวท่านไว้ไม่ได้แน่แล้วก็สั่งท่านและลูกศิษย์ว่า วันใดที่ท่านพ่อสุ่น มรณะภาพลงให้คนมาส่งข่าวมาถึงท่านเร็วที่สุด ท่านจะไปจัดการแต่งศพให้เป็นการทดแทนพระคุณ และท่านมีศิลป์ในการแต่งศพสวยงามมาก และภายหลังท่านพ่อมรณะภาพลง พระปลัดภูก็มาจัดการแต่งศพให้ท่านอย่างสวยงาม ท่านพ่อสุ่น ท่านเกี่ยวพันธ์ทางเมืองชลมาก ลูกศิษย์ท่านเล่าว่าสมัยที่ท่านอยู่วัดต้นสน ในละแวกวัดต้นสนมีวัดอยู่ห่างกันไม่มากหลายวัด คือ วัดเนิน วัดต้นสน วัดใหม่ วัดใหญ่ วัดกลาง วัดสมถะ วัดเคลือวัลย์ วัดนอก วัดกำแพง ลูกศิษย์ท่านเล่าว่าท่านพ่อสุ่นท่านมีเจ้าอาวาสที่เป็นเพื่อนกัน และเพื่อนรุ่นน้อง
มากมายและลูกศิษย์ลูกหาที่เรียนกับท่านก็มีมาก แต่จำชื่อไม่ได้ จำได้แต่ หลวงพ่อภู วัดต้นสนได้แม่นยำเพราะ
เป็นวัดที่ไปอยู่ ส่วนวัดอื่นๆที่เอ่ยมามีที่รู้จักกับท่านแน่ๆก็มีหลวงพ่อภู่วัดนอก หลวงพ่อเจียมวัดกำแพง เพราะมาหาท่านที่วัดต้นสนและวัดอื่นเป็นวัดที่ท่านไปเที่ยว 3-4 วัน แล้วก็กลับมาวัดต้นสน

นิมนต์ท่านพ่อสุ่น มาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์

 ท่านพ่อท่านกลับมาแหลมสิงห์ ท่านคงจะนึกถึงบ้านเกิดของท่าน และอีกอย่างท่านก็มา 5 – 6 ปีแล้ว ป่านนี้ทางเจ้าคณะจังหวัดคงจะแต่งตั้งคนอื่นแทนท่านไปแล้ว ท่านพ่อเมื่อมาถึงวัดปากน้ำแหลมสิงห์ ก็มีขรัวเตยเป็นเจ้าอาวาส ท่านพ่อท่านจึงไปอยู่วัดท่าหัวแหวนกับท่านพ่อช่อ ซึ่งเป็นเพื่อนของท่าน และต่อมาเมื่อท่านพ่อช่อมรณะภาพ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันนิมนต์ให้ท่านพ่อสุ่น เป็นเจ้าอาวาสแทน ท่านก็จะไม่ยอมรับ เกี่ยงให้เอาพระองค์อื่นแทนท่าน แต่ชาวบ้านไม่ยินยอมท่านจึงจำใจต้องยอมรับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าหัวแหวนตั้งแต่นั้นมา (หมายเหตุ วัดปากน้ำแหลมสิงห์กับวัดท่าหัวแหวนเป็นวัดอยู่ใน ตำบลเดียวกันห่างกันประมาณ 1 กม.) ท่านพ่อท่านชอบนกเขามาก เช้าๆ พวกลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดจะต้องเอานกเขาพ่นน้ำและตากแดด ซึ่งธรรมดาเรื่องชีวิตท่านก็น่าจะยุติลง แต่ก็ดูเหมือนท่านเกิดมาเพื่อกำหราบทหารฝรั่งเศสจริงๆ กำหราบทหารฝรั่งเศสให้รู้ว่า คนหัวโล้นๆห่มผ้าสีเหลืองๆนั้น และที่ชาวไทยเรียกว่า “พระ” นั้นจะมาลบหลู่ข่มเหงรังแกกันไม่ได้ เพราะเป็นผู้สามารถทำในสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ จึงให้มีเหตุดังนี้คือ

ทางวัดปากน้ำแหลมสิงห์ เมื่อขรัวเตย เจ้าอาวาส ได้ลาสิกขาบท ออกมาเป็นฆราวาส และได้ ขรัวแบก มาเป็นเจ้าอาวาสแทน ขรัวแบก อยู่เป็นเจ้าอาวาส 2 พรรษา ก็สึกออกมาอีกชาว บ้านปากน้ำซึ่งคอยโอกาสจะให้ท่านกลับมาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ แล้วก็พากันร้องเรียนไปทางนายอำเภอสมัยนั้นคือ หลวงสถิตย์สิงหเขต ให้ไป นิมนต์ท่านพ่อสุ่น มาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์ อีก หลวงสถิตย์สิงหเขต ก็ไปนิมนต์ท่านๆก็จะไม่ยอมมา แต่เมื่อพูดและยกเอาชาวบ้านมาอ้างว่าทุกคนขาดที่พึ่งแล้ว ถ้าไม่ได้ท่านพ่อไปทุกคนจะไม่ยอม ท่านพ่อเมื่อได้ฟังดังนั้น ท่านจึงมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นับเป็นการกลับมาครองตำแหน่งครั้งที่ 2 ของท่านและเป็นการกลับมากำหราบทหารฝรั่งเศส อย่างแท้จริง (ท่านพ่อสุ่น ตอนที่ท่านกลับมาจากบางกะสร้อยเมืองชล และไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าหัวแหวน ฝรั่งเศส จะเข้ามายึดแหลมสิงห์ก่อนแล้ว เพราะพยานหลักฐานคือฝรั่งเศส ยึดแหลมสิงห์ราว พ.ศ. 2436 อายุท่านก็คง 43 ปี เพราะท่านเกิด พ.ศ. 2393 ฝรั่งเสยึดแหลมสิงห์ราว 11 ปี จึงถอนกำลังกลับไป ตอนฝรั่งเศสกลับไปประมาณ พ.ศ.2447 อายุของท่านคงประมาณ 53 ปี

เมื่อกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์

 ท่านพ่อสุ่น เมื่อกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำแหลมสิงห์ ชาวบ้านปากน้ำแหลมสิงห์ ได้ร่มโพธิ์ร่มไทรไว้อาศัย เพราะด้านวิชาอาคมของท่านจะเยี่ยมยอดแล้ว ทางด้านหมอแผนโบราณท่านก็เก่งยิ่งนัก ชาวบ้านคนไหนป่วยเป็น โรคร้ายๆ รักษาไม่หายพอมารักษากับท่านๆก็จะรักษาให้หายกลับไปแทบทุกราย มีหญิงคนหนึ่ง (ปัจจุบันมีชีวิตอยู่) สมัยที่ท่านอยู่ได้เกิดคลุ้มคลั่งขนาดแก้ผ้าวิ่งเพราะถูกกระทำทางไสยศาสตร์ ญาติพี่น้องต้องพากันจับตัวนุ่งผ้ามาให้ท่านรักษา ท่านก็รดน้ำมนต์เป่าหัวให้ไม่กี่วันก็หาย และหายขาดมาถึงปัจจุบัน และหญิงอีกคนหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายรักษาหมอมาหมดที่ว่าดีๆ ก็ไม่หายหมดเงินหมดทองเป็นจำนวนมาก พอมารักษากับท่านๆก็ให้ยาหม้อมาต้มกินและรดน้ำมนต์ของท่านไม่นานก็หาย หญิงคนนั้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จึงนำเงินมาถวายท่านนับร้อยบาท เพราะเป็นคนมีเงิน (เงินนับร้อยสมัยนั้นมีค่ามากแค่ไหนท่านผู้อ่านก็คงรู้) แต่ท่านไม่ยอมรับ หญิงคนนั้นก็ขยั้นขยอให้ท่านรับไว้ ท่านก็บอกว่าท่านรับไว้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์และที่ท่านรักษาให้นั้น ก็ไม่ได้หวังเงินทองเป็นการตอบแทน แต่รักษาให้ด้วยใจเมตตาสงสาร แต่ถ้ามีใจกุศลจริงๆขอให้ถวายเงินนั้นสร้างวัดเถิด หญิงคนนั้นจึงนำเงินถวายวัด เรื่องหมอแผนโบราณของท่านนั้นเก่งกาจยิ่งนัก

ท่านพ่อสุ่น สมัยก่อนวัดของท่านเต็มไปด้วยสัตว์มากมายหลายชนิด เช่น ม้า, วัว,ควาย,นกเขา,ไก่,ห่าน,หมู,หมา ส่วนมากชาวบ้านจะเป็นชาวบ้านนำมาถวายท่านๆก็รับไว้และสัตว์เลี้ยงของท่านก็ ก่อปาฏิหารย์หลายอย่างเป็นที่โจทย์ขานทุกวันนี้

ฝรั่งเศสยิงไก่

 ฝรั่งเศสยึดแหลมสิงห์และตั้งกองบัญชาการใกล้วัดของท่าน ฝรั่งพวกนี้ข่มเหงรังแกชาวบ้านต่างๆ เช่น ถ้าเดินไปเที่ยวกันและผ่านบ้านใคร ถ้ามีเป็ดมีไก่เดินอยู่หน้าบ้านก็จะใช้ปืนยิงเอาไปกินกันโดยไม่มีชาวบ้านคน ไหนกล้าว่า และวันหนึ่งก็เดินไปถึงวัดของท่านและเห็นไก่เดินอยู่ที่วัดมากมาย ฝรั่งเศสจึงให้คนไปบอกกับท่านว่าอยากจะขอยิงไก่ไปย่างกิน 2 – 3 ตัว ท่านพ่อท่านก็ว่า เออ: เอาซี่แต่ให้มันกินข้าวเสียก่อน พูดแล้วท่านก็เอาข้าวมาเสกและโปรยเรียกให้ไก่มากิน พอไก่กินสักครู่ท่านก็บอกให้ฝรั่งเศสพวกนั้นยิงไก่ ฝรั่งเศสก็ใช้ปืนยาวยิงไม่ออก ท่านก็ให้เปลี่ยนปืนมายิงใหม่เพราะฝรั่งเศสมากัน 5 – 6 คน และมีปืนกันทุกคนแต่ก็ยิงไก่ไม่ออกเลย พอใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าปืนก็ยิงออก ฝรั่งเศสพวกนั้นก็พากันนึกแปลกใจและกลัวจึงพากันลาท่านกลับที่พักไป นี่นับเป็นการลองกับฝรั่งเศสครั้งแรกๆที่ฝรั่งเศส มายึดแหลมสิงห์ของท่าน

ฝรั่งเศสลูบหัว

 ท่านพ่อตัวท่านค่อนข้างเตี้ย วันหนึ่งท่านกวาดลานวัดอยู่ ฝรั่งเศสได้พากันเดินมาเที่ยวถึงวัดของท่าน และมีฝรั่งเศสคนหนึ่งเห็นท่านกำลังก้มกวาดลานวัดอยู่คงจะนึกว่าท่านเป็นเด็ก ตัว เล็กๆ หัวโล้นๆ จึงตรงเข้าไปลูบหัวท่านและใช้มือโยกไปโยกมา ปากก็พูดเป็นภาษาฝรั่งเศสทำนองสนุกๆ ท่านพ่อท่านทิ้งไม้กวาดทันทีและชกฝรั่งเศส ฝรั่งคนนั้นชกตอบจึงชกกัน และครู่เดียวแขนทั้ง 2 ข้างของฝรั่งเศสคนนั้นก็ยกไม่ขึ้นขอยอมแพ้ท่าน ส่วนท่านพ่อท่านหาเป็นไรไม่เพราะฝรั่งเศสหาชกถูกตัวท่านไม่ (นี่เป็นการสั่งสอนฝรั่งเศสของท่านว่าอย่ามองเห็นคนไทยตัวเล็กๆแล้วจะข่มเหง รังแกได้ โดยเฉพาะคนไทยที่ห่มผ้าเหลืองๆหัวโล้นๆที่เรียกว่าพระนั้นอย่าข่มเหงเป็นอัน ขาด เพราะเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมเก่งกาจสามารถชกจนฝรั่งเศสตัวใหญ่ๆแพ้ได้)

เสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตนต่อยฝรั่งเศส

 ฝรั่งเศสสมัยนั้นเมื่อพบผู้หญิงสาวๆ จะไล่กอดและจับนมดื้อๆ ฉะนั้นที่พึ่งของพวกผู้หญิงสาวๆสมัยนั้นก็คือวัดของท่าน ถ้าวิ่งหนีเข้าเขตวัดได้ รับรองว่าฝรั่งเศสหายังไงก็ไม่เจอ บางทีพวกผู้หญิงก็หนีเข้าไปซุกอยู่ในห้องท่าน 5 – 6 คน ฝรั่งวิ่งตามมาและเห็นว่าวิ่งขึ้นบนวัดก็จะขอค้นท่านพ่อท่านก็ให้ค้นและ ทั้งๆที่ผู้หญิงเหล่านั้นก็ยังอยู่ในห้องท่าน แต่ฝรั่งเศสเปิดประตูก็หาพบเจอไม่ พากันค้นหาก็ไม่พบเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก และมีอยู่คราวหนึ่งท่านยืนอยู่หน้าวัด ฝรั่งเศสก็กำลังวิ่งมาท่านเห็นและคงจะเหลืออดท่านจึงรูดใบมะขามมาเสกขว้างไป กลายเป็นตัวต่อแตนไล่ต่อยฝรั่งเศสวิ่งกระเจิงไป

ฝรั่งเศสขโมยพระพุทธรูปต้มน้ำกิน

 ฝรั่งเศสถึงตอนนี้ก็เริ่มคร้ามเกรงท่านขึ้นแล้ว ฝรั่งเศสเห็นท่านพ่อลงโบสถ์สวดมนต์ และกราบพระพุทธรูปในโบสถ์ทุกเช้า ก็พากันคิดว่าเป็นเพราะพระพุทธรูปในโบสถ์นี่เองที่ทำให้ท่านเก่ง จึงพากันขโมยพระพุทธรูปที่ตั้งไว้บนกำแพงรอบโบสถ์ไป และนำพระนั้นไปต้มน้ำด้วย หมายใจว่าจะกินน้ำต้มพระนั้นแล้วจะได้เก่งเหมือนท่านพ่อสุ่น นายทหารจึงเรียนทหารเข้าแถวและให้ตักน้ำที่ต้มพระใส่ถ้วยและแจกให้ทหารกิน กันทุกคน กินไปสักครู่รักที่พอกพระและละลายอยู่ในน้ำที่กินนั้นก็กัดท้องพากันล้มลง ร้องครวญครางและพากันตายเป็นจำนวนหลายคน หมอแหมบอกว่าฝรั่งเศสที่กินน้ำต้มพระคราวนั้นพากันตายประมาณ 20 กว่าคนจะเห็นได้ฝรั่งเศสเมื่อตายก็ทำการฝัง ที่ฝังฝรั่งเศสคราวนั้นปัจจุบันนี้คือบ้านพักนายอำเภอถึงโรงฆ่าสัตว์และต่อ มาเมื่อชาวบ้านขุดหลุมปลูกบ้านมักจะขุดเจอศพฝรั่งเศสบ่อยๆ

ชกฝรั่งเศสสลบ

วัดท่านพ่อสมัยนั้นมีบ่อน้ำอยู่ 1 บ่อ บ่อน้ำบ่อนี้สำหรับเป็นที่อาบน้ำของพระและชาวบ้านแถวนั้น และใช้ดื่มกินเพราะเป็นน้ำจืด และฝรั่งเศสได้อาศัยบ่อน้ำบ่อนี้ดื่มกินและอาบเหมือนกัน มีอยู่คราวหนึ่งฝรั่งเศสได้มาอาบน้ำที่บ่อและมีคนอยู่คนหนึ่งอาบน้ำแล้วทำ สกปรก คืออาบเสียติดปากบ่อตักน้ำขึ้นมาได้ก็รดหัวเลยทำให้น้ำกระเซ็นตกลงไปในบ่อ เป็นที่สกปรก พระลูกวัดและชาวบ้านมาเห็นก็เข้าไปบอกให้ทหารฝรั่งเศสคนนั้น ให้อาบน้ำมาห่างๆ บ่อหน่อย น้ำจะได้ไม่ตกลงไปในบ่อ ฝรั่งเศสคนนั้นหาเชื่อฟังไม่ พาลชี้มือชี้ไม้ไล่พระและชาวบ้านให้ไปให้พ้นๆ พระลูกวัดจึงเข้าไปบอกกับท่านพ่อสุ่น ท่านพ่อท่านก็ลงมาดูและเห็นฝรั่งเศสคนนั้นยังอาบน้ำเสียติดปากบ่ออยู่ท่าน จึงเข้าไปทำมือเป็นทำนองว่าให้อาบมาห่างๆ บ่อหน่อย ฝรั่งเศสคนนั้นกลับทำท่าตั้งท่ามวยสากลและกวักมือท้าทายให้ท่านเข้ามา ท่านพ่อท่านคงจะสุดทนท่านจึงรั้งชายผ้าเหลืองโจงกระเบน กระโดดเหยียบหัวเข่าฝรั่ง ชกหน้าฝรั่งเศสคนนั้นโผงเข้าให้ ฝรั่งเศสคนนั้นก็ล้มฟุบลงขอบบ่อนั่นเอง ถ้าเป็นภาษามวยก็ต้องว่า คามุม ( และผมมั่นใจว่าท่านคงชกด้วยอาคมเป็นแน่ ) และที่ท่าน ต้องกระโดดเหยียบหัวเข่าฝรั่ง เพราะฝรั่งตัวสูงและท่านพ่อเป็นคนค่อนข้างเตี้ย ถ้าไม่กระโดดเหยียบหัวเข่าก็คงชกไม่ถึงหน้า ฝรั่งคนนั้น เพื่อนที่มาด้วยก็พากันหามกลับลงเรือ ผู้เฒ่าผู้แก่มักเล่าให้ฟังเสมอว่าถ้าสมัยนั้นไม่มีท่านพ่อสุ่น สักองค์ ไม่รู้ว่าชาวบ้านสมัยนั้นจะเดือดร้อนกับฝรั่งเศสอีกเท่าไหร่ เพราะท่านพ่อท่านชกมวยและฟันดาบเก่งยิ่งรัก ท่านเคยต่อให้ฝรั่งเศส 2 คน เข้ามาพร้อมกัน ซ้อมมวยกับท่านแต่ฝรั่งเศสไม่กล้า และชวนนายทหารฝรั่งเศสซ้อมฟันดาบแต่หามีใครกล้าลองกับท่านไม่ พากันคร้ามข้อกลัวเกรงท่านยิ่งนัก

ฝรั่งเศสเชิญไปรักษา

วันหนึ่งนายทหารฝรั่งเศสได้ให้คนมาเชิญท่านไปที่เรือรบ ซึ่งจอดอยู่หน้าเกาะแหลมสิงห์ ทีแรกพวกลูกศิษย์ท่านก็พากันพูดคัดค้านไม่ให้ท่านไป เพราะเกรงว่าฝรั่งเศสจะหลอกท่านไปฆ่า เพราะคิดว่าฝรั่งเศสอาฆาตท่านมาหลายเรื่องแล้ว แต่ท่านพ่อจิตใจท่านเข้มแข็ง องอาจยิ่งนัก ท่านหายอมฟังผู้ใดไม่ ท่านว่า “ใครไม่ไปกูจะไปของกูคนเดียว ” แล้วท่านก็ไป พวกลูกศิษย์เห็นดังนั้นจึงพากันติดตามไป และเมื่อลงเรือเล็กจนถึงที่เรือรบจอดอยู่ ฝรั่งเศสก็ได้เชิญให้ท่านรักษาทหารญวนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังนอนร้องครวญครางอยู่เพราะกินอาหารและกระดูกไก่เข้าไปติดคอ (ทหารญวนคนนั้นเป็นทหารรับใช้ในเรือ เพราะสมัยนั้นญวนเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส) ทำท่าจะตายเอา แต่ก่อนที่จะให้รักษานั้นนายทหารฝรั่งเศสได้เชิญท่านจะให้นั่งโต๊ะกินเหล้า – บรั่นดี ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้เสียก่อน ท่านพ่อท่านจึงชี้ไปที่ดวงอาทิตย์เป็นความหมายว่า เที่ยงแล้วพระฉันไม่ได้ และชี้ไปที่ขวดเหล้าเป็นความหมายว่าพระเขาห้ามกินเหล้า นายทหารฝรั่งเศสจึงเข้าใจ และท่านพ่อเมื่อท่านจะรับรักษาให้นั้น ท่านก็ตั้งเงื่อนไขว่า ต้องให้ทหารญวนคนนั้นยกมือไหว้ท่านเสียก่อนท่านจึงจะยอมรักษาให้ ทหารญวนคนนั้นเมื่อรู้เรื่องเข้าก็พูดว่า จะไม่ยอมไหว้เพราะญวนนับถือศาสนาคริสต์ไม่ไหว้พระ ทานพ่อท่านก็ว่า เมื่อไม่ไหว้ท่าน ท่านก็จะไม่รักษาให้และท่านก็ทำท่าจะกลับ ทหารญวนคนนั้น ในที่สุดเมื่อทนเจ็บไม่ไหวจึงยอมไหว้ท่าน ท่านพ่อ เมื่อทหารญวนยกมือไหว้ท่านก็ยอมรักษาให้ ท่านจึงใช้ให้นายทหารฝรั่งเศสตักน้ำมา 1 ขัน เมื่อได้มาท่านก็เสกทำเป็นน้ำมนต์ให้ทหารญวนคนนั้นกิน และท่านก็ให้ทหารญวนคนนั้นทำท่าขย้อนคอแบบจะออก ทหารญวนคนนั้นกินน้ำมนต์และทำท่าขย้อนคอตามที่ท่านบอก ครั้งแรกยังไม่ออก ท่านจึงให้กินน้ำมนต์ซ้ำอีกที คราวนี้พอทำท่าขย้อนคอ กระดูกไก่ก็หลุดออกมายาวเกือบนิ้วก้อย นายทหารฝรั่งเศสเมื่อเห็นกับตาดังนั้น ก็พากันยกย่องท่านเป็นการใหญ่ แต่สันดานฝรั่งเศสไม่เชื่อเรื่องพุทธคุณอยู่แล้ว พาลคิดว่าเป็นเพราะน้ำที่ตักมาให้ และเป็นน้ำที่นำมาจากบ่อที่วัดของท่านจึงสามารถรักษาได้ คิดว่าบ่อน้ำนี้เป็นบ่อน้ำวิเศษ จึงมีคำสั่งห้ามให้ทหารญวนทุกคนในเรือห้ามไปตักน้ำและอาบน้ำที่บ่อนี้ทุกคน ส่วนทหารฝรั่งเศสอาบได้แต่ห้ามทำสกปรก

หมาท่านพ่อกัดกับหมาฝรั่งเศส

 ฝรั่งเศสมาอาบน้ำที่บ่อที่วัดและพาหมามาด้วย 1 ตัว เป็นหมาพันธุ์ฝรั่ง รูปร่างสูงใหญ่มาก หมาฝรั่งเศสเมื่อเห็นหมาที่วัดตัวเล็กๆ เป็นหมาที่ท่านพ่อเลี้ยงไว้ ก็ตรงเข้าไปทำท่าแยกเขี้ยวจะกัดแบบจะขู่ เพราะเห็นว่าตัวเล็กกว่า แต่หมาท่านพ่อหากลัวไม่ตรงเข้ากัดหมาฝรั่งเศสทันที กัดกันอยู่นานหมาฝรั่งเศสกัดก็กัดไม่เข้า ส่วนหมาท่านพ่อตัวเตี้ยก็มุดเข้ากัดตามข้อขาหมาฝรั่ง จนหมาฝรั่งล้มลงลุกขึ้นไม่ได้ ฝรั่งเศสที่เอาหมามาจึงอุ้มหมากลับลงเรือไป

ไก่กระดูกดำ

 สมัยก่อนวัดของท่านมีไก่เป็นจำนวนหลายตัวอยู่รวกกันเป็นฝูง และมีอยู่ตัวหนึ่งเป็นไก่ชนตัวผู้ สีประดู่ เดือยดำ หางดำท่านเรียกไก่ตัวนี้ว่า “ไอ้ดู่ เดือยดำ” ไก่ตัวนี้เป็นที่ชื่นชอบของนักเลงไก่ชนสมัยนั้นเป็นยิ่งนัก เพราะตอนท่านเผลอนักเลงตีไก่พวกนี้จะพากันขโมยของท่านไปตีบ่อนพนันเอาเงิน และถึงแม้ว่าในกระเป๋าไม่มีเงินเลย ก็กล้าดี เพราะไอ้ประดู่ดำตัวนี้จะตีไก่ชนตัวที่สู้ด้วยคว่ำคาสังเวียนไม่เกินอัน 1 อัน 2 ทุกตัวไป ทั้งๆ ที่ไอ้ประดู่ดำตัวนี้กินข้าวสุกวัดทุกวัน ไม่ได้มีการเลี้ยงข้าวเปลือกอาบน้ำลงขมิ้นเหมือนไก่ตัวที่ตีกับมันด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกยิ่งนัก ท่านพ่อเมื่อท่านรู้ว่ามีคนขโมยไก่ของท่านไปตีบ่อน ท่านก็จะด่าว่า ” ไอ้ฉิบชี่! พวกนี้ขโมยไก่กูไปตีอีกแล้ว ” และท่านก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่ยิ้มๆ ไก่ตัวนี้ต่อมาก็ไม่มี
ใครกล้าตีด้วยขนาดขโมยไปแล้วไปย้อมเป็นสีอื่นก็ยังจำกันได้ เพราะจำเดือยและเสียงขันได้เป็นที่กลัวเกรงของนักเลงไก่ชนต่างถิ่นสมัยนั้น เป็นยิ่งนัก

หมาที่วัดไปกัดหมูชาวบ้าน

 หมาของท่านที่วัดตัวหนึ่งได้ไปกัดหมูชาวบ้านแถวนั้นชื่อ เจ๊กส่งทำให้เจ้าของหมูโมโหมากจึงนำปืนมาจะมายิงหมาที่วัด พอมาถึงวัดก็ไปบอกกับท่านว่า “หมาที่วัดไปกัดหมูผม ผมจะตามมายิง” ท่านพ่อท่านก็ว่า “เอาซิ เดี๋ยวกูเรียกหมามากินข้าว และตัวไหนที่กัดหมูมึงก็ยิงเอาเลย ” เจ๊กส่ง เมื่อเห็นหมามาก็จำได้จึงใช้ปืนยิง ยิงก็ไม่ออก จึงลาท่านกลับและเดินมาระหว่างทางเห็นต้นมะพร้าวจึงใช้ปืนตีต้นมะพร้าวจนปืน หักเพราะความโมโหที่ยิงไม่ออก และหมาของท่านที่เลี้ยงไว้ 3 – 4 ตัวนี้วิ่งหอบแฮกๆ มาหมอบอยู่หน้าบ้าน ก็เป็นอันว่าเตรียมปูเสื่อจัดหมากพลูไว้คอยต้อนรับท่านได้เลย เพราะสักครูท่านก็จะนั่งเกวียนตามมาแน่นอน ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ได้ให้คนมาบอกว่าจะมา บางทีท่านก็มาบอกเรื่องให้ช่วยกันเรี่ยไรทำบุญสร้างวัด หรือธุระอะไรของท่าน ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเล่าว่าเมื่ออยู่วัด หมาพวกนั้นจะคลอเคลียท่าน ไม่ยอมห่างท่านพ่อเมื่อท่านจะไปบ้านใครท่านก็จะพูดเปรยๆ ว่าเดี๋ยวจะไปเยี่ยมบ้านคนนู้นคนนี้ และระหว่างที่พูดท่านก็จะเคาะกระดาน 3 ทีไปด้วยหมาพวกนี้พอท่านพ่อพูดจบก็จะพากันวิ่งกระโจนไปก่อนทันที และไปรอท่านอยู่บ้านที่ท่านจะไปดังที่กล่าวมาแล้วซึ่งอ่านดูแล้วเหมือนนิยาย ไม่รู้ว่าท่านเลี้ยงหมายังไงและใช้อาคมประเภทไหน หมาพวกนั้นถึงรู้กระทั่งบ้านที่ท่านจะไป

ท่านพ่อสุ่นเป็นผู้มีอาคมทางเมตตายิ่งนัก

 หน้าวัดของท่านสมัยก่อนมีต้นยางอยู่หน้าวัด 3 ต้น ต้นยาง 3 ต้นนี้ นกเขาป่าจะพากันมาเกาะตอนเช้าๆ เป็นจำนวนมากและท่านพ่อท่านก็ชอบนกเขาอยู่แล้ว ท่านชอบมาแต่ครั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าแหวน ท่านพ่อตอนเช้าๆ ท่านจะลงมายืนหน้าต้นยาง และดีดนิ้วเรียกนกเขาป่าที่เกาะต้นยาง นกเขาป่าเหล่านั้นก็จะบินโผลงมาเกาะที่ตัวท่านและจะเกาะอยู่นาน และพอท่านพูดว่า ” ไปเสีย” นกเขาเหล่านั้นก็จะบินไปทันที แสดงถึงอำนาจทางพุทธคุณของท่านว่าเมตตายอดเยี่ยมยิ่งนัก และนกเขาของท่านที่เลี้ยงไว้หลายตัวในวัด และมีตัวหนึ่งชื่อว่า ” ไอ้กะเชอวาง ” และเหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะว่าสมัยนั้นมีแม่ค้าคนหนึ่งกระเดียดกะเชอ (กะเชอคงมีลักษณะเป็นกะโล่ไม้ไผ่) ใส่ผักจะไปขายที่ตลาด และทางจะไปตลาดนั้นต้องผ่านหน้าวัดทุกวัน นกเขาตัวนี้เมื่อเห็นแม่ค้าเดินผ่านมา (เพราะท่านเลี้ยงไว้หน้าวัด) ก็จะดูและขันขึ้น แม่ค้าคนนี้เมื่อได้ยินเสียงนกเขาตัวนี้ขันก็จะวางกระเชอที่กระเดียดใส่เอว วางลง และยืนฟังนกเขาตัวนี้ขันจนกว่าจะหยุดขัน แกจึงจะกระเดียดกระเชอไปขายผักต่อไป เป็นอยู่อย่างนี้ทุกวันซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะผู้หญิงจะมายืนฟังนกเขาขันอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ และเป็นแม่ค้าก็ต้องรีบไปขายผักอยู่แล้ว คิดว่าท่านพ่อสุ่น ท่านคงจะลงอาคมทางเมตตาของท่านเอาไว้ที่นกเขาตัวนี้เป็นแน่ เพราะนกเขาตัวนี้ท่านรักของท่าน เสกข้าว เสกน้ำให้กินทุกวัน พวกลูกศิษย์จึงพากันเรียกนกเขาตัวนี้ว่า “ไอ้กระเชอวาง” ตั้งแต่นั้นมา

วาจาประกาศิต

 ท่านพ่อสุ่นโดยปกติท่านจะไม่ด่าใครเป็นอันขาด ให้โกรธแล่นโกรธยังไงท่านก็จะด่าว่า ” ไอ้ฉิบชี่ ” เพียงคำเดียว เพราะคำว่าฉิบชี่ ไม่รู้ว่าจะแปลยังไง ลงว่าท่านด่าใครว่าไอ้ฉิบหาย รับรองว่าคนผู้นั้นให้รวยแสนรวยยังไง ก็ต้องมีเหตุให้เป็นไปต้องล่มจมหมดตัวแน่ๆ ดังเช่นเรื่องนี้ ครั้งสมัยที่ท่านอยู่นั้นมีครอบครัวหนึ่งซึ่งร่ำรวย และมีที่ดินของตัวเองติดกับวัดที่คิดจะเบียดบังที่ดินของวัด เข้าเป็นของตัวเอง ท่านพ่อท่านรู้เข้าก็ว่า ” ไอ้พวกนี้เห็นจะไม่เจริญหรอก ” และก็จริงดังคำท่าน อีกไม่นานก็มีเหตุให้ต้อง
ขายไร่ขายนาของตัวเองหมดทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่จะอาศัยแทบไม่มี ต้องซัดเซพเนจรจรพลอยคนอื่นอยู่ เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีแสดงถึงวาจาสิทธิ์จากปากของท่าน

เลือดรักชาติ

 ท่านพ่อสุ่น ท่านมีเลือดรักชาติยิ่งนัก แม้ท่านจะเป็นพระท่านก็ทำทุกวิถีทางที่จะช่วยชาติบ้านเมือง ท่านพ่อท่านได้ข่าวมาจากทางการที่อำเภอแหลมสิงห์ว่า 3 โมงเย็นพรุ่งนี้ ฝรั่งเศสจะพากันแล่นเรือรบจากปากอ่าวแหลมสิงห์เข้ายึดเมืองจันท์ ตกค่ำนั้นท่านก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เดินไปเดินมาปากก็บ่นพวกลูกศิษย์ว่า “จะทำยังไงดี 3โมงเย็นพรุ่งนี้ฝรั่งเศสมันจะยึดเมืองจันท์แล้ว “ท่านเดินคิดไปคิดมาสักครู่ท่านก็บอกให้พวกลูกศิษย์ไปตามชาวบ้านมาคืนนั้น เลย ท่านสั่งให้เอาเรือลำใหญ่ของวัดและเรือของพวกชาวบ้านพากันขนหินมาใส่จนเต็ม ทุกลำ และพากันไปจมเรือขวางลำแม่น้ำไว้เป็นแนวตรง (สมัยนั้นแม่น้ำยังแคบไม่กว้างเหมือนปัจจุบันนี้) ในการไปจมเรือขวางคลองนี้ท่านเป็นผู้นำไป เพราะชาวบ้านและลูกศิษย์กลัวพวกทหารฝรั่งเศสจะรู้และใช้ปืนยิงเอา ท่านพ่อท่านมีจิตวิทยาในการปกครองคนยิ่งนัก ท่านได้พูดปลอบขวัญพวกนั้นว่า ” ไอ้ฉิบชี่ พวกมึงไม่ต้องกลัวไปกับกู ถ้าตายกูจะตายก่อนเขา ไอ้พวกฝรั่งเศสมันจะเก่งกับกูได้ยังไงวะ ” คนพวกนั้นเมื่อได้ฟังดังนั้น จิตใจจึงฮึกเหิมยิ่งนัก พกผ้ายันต์ ผ้าประเจียดคาดแขนไป บางคนถึงกับพูดว่า ถ้าฝรั่งเศสมันรู้ก็มีเหมือนกันจะได้รบกับมัน เมื่อจมเรือขวางไว้เสร็จไว้ก็พากันลงเรือลำที่ไม่ได้ใส่หินกลับมาที่วัด และก็จริงดังคาด พอ 3 โมงเย็นวันรุ่งขึ้นฝรั่งเศสก็แล่นเรือจะเข้าไปในเมือง แต่ก็ติดเรือที่จมขวางอยู่เข้าไปไม่ได้ (ช่วงการจมเรือขวางคลองนี้เป็นช่วงที่ฝรั่งเศสอาจจะกำลังออกจากแหลมสิงห์) จึงถอยเรือรบกลับไป หน้าเกาะแหลมสิงห์ดังเดิม และเรื่องการจมเรือขวางคลองนี้ทางฝรั่งเศสได้สืบหาคนทำเป็นการใหญ่ ประกาศว่าถ้าพบและรู้จะทำโทษให้หนัก

เรื่องของท่านพ่อสุ่นกับฝรั่งเศส เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย (ตามความเห็นของผม ฝรั่งเศสคงจะอยู่หลังการจมเรือขวางคลองนี้อีกไม่นานแล้วก็ออกไป)เพราะผมสืบ เสาะค้นคว้าได้แค่นี้ ท่านพ่อสุ่น เปรียบไปท่านก็เหมือนแม่ทัพของชาวบ้านปากน้ำแหลมสิงห์ ที่เป็นผู้นำในการต่อต้านฝรั่งเศสนักล่าเมืองขึ้นทุกวิถีทาง รวมทั้งใช้อำนาจทางวิชาอาคมของท่านกำหราบจนฝรั่งเศสคร้ามเกรงท่านไปตามๆ กัน ถ้าท่านไม่เป็นพระ เป็นคนธรรมดา ก็เปรียบเหมือน ” วีรบุรุษ ” ที่มีบุญคุณกับชาวบ้านปากน้ำแหลมสิงห์ทุกคนอย่างล้นเหลือ เพราะขนาดท่านเป็นพระท่านยังทำถึงขนาดนี้ (ดังเรื่องที่ผมเขียนมา) ดังนั้นพวกเราชาวบ้านปากน้ำแหลมสิงห์รุ่นหลังทุกคน จึงสมควรตอบแทนพระคุณท่านที่มีต่อ ปู่ ย่า ตา ยายของเรา ด้วยการเคารพสักการระบูชาท่าน สดุดีถึงวีรกรรมของท่านต่อไปตราบนานเท่านาน

ยิงกระสุนโค้ง

เรือยิงกระสุนโค้งหรือที่ชาวบ้าน เรียกว่า “คาถาปืนคด” นี้เป็นที่รู้กันดีสำหรับชาวบ้านปากน้ำทุกคน เด็กวัดสมัยนั้นที่ท่านอยู่แทบทุกคนจะโดนกระสุนโค้งของท่านยิงเอา เพราะความซุกซนชอบปีนป่ายต้นไม้เก็บผลไม้กินการยิงท่านจะยิงลอดร่องเยี่ยวใน ห้องท่านและกระสุนสามารถไปถูกเด็กวัดบนต้นไม้ได้ ครั้งหนึ่งท่านเคยลองทำให้ลูกศิษย์เห็นประจักษ์ คือเอาป้ายที่ยิงไว้ข้างหลังท่าน ส่วนท่านจะยิงกระสุนไปข้างหน้า กระสุนนั้นวิ่งโค้งกลับมาถูกเป้าที่ตั้งไว้ด้านหลังท่านได้ เรียกว่าถ้าอ่านอย่างนี้แล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ถ้าผู้ใดสงสัยลองมาสอบถามชาวบ้านแหลมสิงห์ได้ แต่ต้องเป็นคนแหลมสิงห์ดั้งเดิมไม่ใช่เห็นว่าเจอใครก็ถาม เดี๋ยวถามแล้วไม่รู้เรื่องจะหาว่าผู้เขียน เขียนโกหกขึ้นมา เพราะปัจจุบันนี้คนถิ่นอื่นมาอยู่กันมากจึงรู้เรื่องก็รู้แบบงูๆ ปลาๆ ฟังเขาพูดมา ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ถ้าเป็นคนแหลมสิงห์ อายุ 65 – 70 ปี รับรองว่ารู้เรื่องกระสุนโค้งกันทุกคน

พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จมาวัด

 ท่านพ่อสุ่นท่านเล่าให้ลุงฟังว่า พระพุทธเจ้าหลวง (รัชกาลที่ 5) มาที่วัดปากน้ำแหลมสิงห์ประมาณเดือน 12 พ.ศ.2448 – 2449 และเดือน 12 อยู่ในระหว่างคลื่นใหญ่ลมจัดมีพายุ ท่านเสด็จมาโดยเรือใหญ่จอดไว้ที่หน้าเกาะ แล้วลงเรือเล็กมาและได้ทอดกฐิน ที่วัดด้วย รัชกาลที่ 5 ท่านทรงมีนิสัยชอบผจญภัยอยู่แล้ว ท่านอยากเสด็จประพาสเมืองจันทน์โดยใช้เรือพาย พายไปจากแหลมสิงห์เข้าแม่น้ำจันทบุรี ชาวบ้านก็พากันกราบทูลคัดค้านไม่ให้ท่านไป กลัวเรือจะจม เพราะคลื่นใหญ่ลมจัดเหลือเกิน แต่รัชกาลที่ 5 ท่านไม่ทรงเชื่อ ท่านได้บอกกับท่านพ่อว่าท่านจะไปเมืองจันทน์โดยเรือพาย ท่านพ่อท่านก็ว่า “เมื่อมหาบพิตรจะไปอาตมาก็ขอให้โชคดี” รัชกาลที่ 5 ท่านก็ว่า “ชาวบ้านคัดค้านไม่ให้ไปเพราะกลัวเรือจะจมหลวงพ่อเห็นเป็นยังไงครับ” ท่านพ่อท่านก็ว่า “วันที่มหาบพิตรเดินทางคงจะไม่มีอะไร” และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์นัก พอวันที่รัชกาลที่ 5 ท่านจะเดินทางเข้าประพาสจันทน์โดยใช้เรือพาย เช้านั้นเองคลื่นลมพายุใหญ่ที่พัดกระหน่ำอยู่อย่างรุนแรง ก็สงบราบคาบลงเหมือนจะรู้เห็นเป็นใจในการที่จะให้รัชกาลที่ 5 ท่านประพาสเมืองจันทน์สมความปรารถนาของท่าน และสมคำท่านพ่อที่ว่า “คงไม่มีอะไร” เพราะรัชกาลที่ 5 บุญญาธิการของท่านก็สูงส่งและท่านพ่อวาจาของท่านก็ประกาศิตอยู่แล้ว ประชาชนชาวบ้านปากน้ำฯทั้งข้าราชการที่ไปส่งท่านพากันโห่ร้องสรรเสริญบุญบารมีของท่านไปตามๆกัน

เกี่ยวพันกับหลวงพ่ออี๋

ลุงผลิ เนินริมหนอง เล่าให้ฟังว่า พ่อของลุงผลิ (นายแผด) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านพ่อเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งคนทางบางกะสร้อยซึ่งคงจะเป็นคนรวย ได้มานิมนต์ท่านให้ไปเทศน์ที่บ้าน และเป็นการเทศน์แบบ 3 ธรรมมาส ท่านพ่อพอท่านไปถึง หลวงพ่ออี๋วัดสัตหีบก็เทศน์อยู่ก่อน คนฟังเทศน์เต็มไปหมดและมีอาจารย์อีกองค์หนึ่งเทศน์อยู่ด้วยแต่ไม่ทราบชื่อ เพราะจำไม่ได้ ท่านพ่อท่านมาถึงทีหลัง ท่านก็ขึ้นธรรมมาสเริ่มเทศน์ ทีแรกก็ไม่มีคนค่อยฟังเท่าไร แต่พอท่านเทศน์ไปสักครู่คนที่ไม่ฟังท่านเทศน์ก็หันมาฟังท่านเทศน์เต็มไปหมด เมื่อเทศน์จบแล้วหลวงพ่ออี๋จึงมาคุยกับท่าน และคงจะคุยถูกคอกัน และท่านพ่ออี๋ต่อมาก็ได้ไปหาท่านพ่อสุ่น ที่วัดปากน้ำแหลมสิงห์ หลายหน ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนยืนยันได้ และท่านคงจะมาเยี่ยมเยียนแลกเปลี่ยนวิชากันและหลวงพ่ออี๋ถ้าเป็นเพื่อนก็คง รุ่นน้องท่าน ไม่ทราบว่ารู้จักกันสมัยที่ท่านไปอยู่วัดต้นสนหรือเปล่า

โดนเลื่อยล้อเกวียน

ท่านพ่อสมัยก่อนเวลาท่านจะไปไหนท่านจะมีเกวียนนั่งไป และมีวัวที่เทียมเกวียนอยู่ 4 ตัว ชื่อไอ้ต่าย ไอ้เต้น ไอ้หยี่ ไอ้ทราย วัว 4 ตัว นี้ล่ำสันแข็งแรงและมักจะไม่เชื่อฟังใครง่ายๆ แต่ถ้าวันใดที่ท่านพ่อมีธุระจะไปไหนและพอท่านพ่อก้าวลงจากวัดและเดินไปที่ เกวียน วัว 4 ตัวนี้ จะพากันวิ่งไปที่เทียมเกวียนเองทันที และที่ท่านโดนเลื่อยล้อเกวียนก็มีเหตุดังนี้ ครั้งหนึ่งมีชายผู้หนึ่งชื่อ “เนย” มีบ้านอยู่ในละแวกใกล้วัด มานิมนต์ท่านพ่อให้ไปรักษาโรคให้ภรรยาของตนซึ่งกำลังป่วยอยู่ที่บ้าน แต่เผอิญวันที่นายเนยมานิมนต์ท่านพ่อนั้น มีคนมานิมนต์ท่านไว้ก่อนแล้ว ท่านพ่อท่านก็ว่า “เออ ไอ้เนย เดี๋ยวกูไปบ้านที่เขามานิมนต์ก่อน เสร็จแล้วกูจะไปรักษาให้ เพราะเขามานิมนต์ก่อน กูก็ต้องไปให้เขาก่อน และเขาก็ป่วยหนักเหมือนกัน “นายเนยเมื่อกลับมาถึงบ้านและอีกไม่นานภรรยาซึ่งคงจะป่วยหนักอยู่แล้วก็เกิด ตายลง นายเนยเมื่อภรรยาตายลง ก็คิดอาฆาตแค้นท่านพ่อ คิดไปว่าเป็นเพราะไปนิมนต์ท่านพ่อแล้วไม่ยอมมาทันทีจึงทำให้ภรรยาของตนต้อง ตาย นายเนยจึงคอยหาโอกาสแก้แค้นท่านพ่อตลอดมา จนคืนหนึ่งมีโอกาสจึงเอาเลื่อยแอบไปเลื่อยเพลาล้อเกวียนเกือบขาด กะว่าถ้าวันไหนท่านพ่อมีธุระใช้เกวียนไป เพลาล้อเกวียนก็จะขาดลงและคงจะทำให้ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บสมใจแค้นเป็นแน่ หรือปะเหมาะเคราะห์ดีอาจจะถึงตายก็ยิ่งดีเข้าไปอีก และวันหนึ่งท่านพ่อท่านก็มีธุระจะใช้เกวียนจริงๆ ท่านพ่อพอท่านก้าวขึ้นเกวียนและนั่งลง ท่านก็ดูเหมือนจะรู้ด้วยญานของท่านว่ามีคนแกล้งท่าน ท่านก็สั่งลูกศิษย์ท่านว่า วันนี้อย่าให้วัวมันวิ่งเร็วนักให้มันไปของมันเรื่อยๆ พอวัววิ่งไปสักครู่เพลาล้อเกวียนที่นายเนยเลื่อยไว้ก็ขาดลง ลูกศิษย์ที่ติดตามไปด้วยคือ ด.ช. เฮ้า (พระครูประศาสสิทธิการ) หน้าก็กระแทกกับไม้หัวแตกมีรอยแผลเป็นจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนท่านพ่อท่านก็ถูกแรงกระแทกของเกวียนที่ล่มกระแทก เจ็บบ้างเป็นธรรมดา ถึงตอนนี้ท่านจึงพูดเปรยๆ ขึ้นว่า “เออ กรรมใดใครมันแกล้งกู กรรมก็ต้องสนองเอง และมันจะไม่ตายถิ่นนี้หรอก ” และนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นคำประกาศิตของท่านจริงๆ นายเนยผู้นี้ตอนตายแทบจะไม่มีเสื้อผ้าใส่ ตายกลางดินแบบอนาถาที่สุดโดยไปตายแถวเขาสระบาป จันทบุรี

นายอุปถัมภ์ลูกศิษย์เอก

นายถัมผู้นี้เป็นผู้ใกล้ชิดท่านพ่อมาก เป็นศิษย์รุ่นสุดท้าย อยู่กับท่านพ่อมาแต่เล็กๆ เรียกว่าอายุน้อยกว่าศิษย์รุ่นพี่ แต่รู้เรื่องท่านมากที่สุดเพราะอยู่ใกล้ชิดบีบนวดท่าน นายถัมเล่าว่า ท่านพ่อท่านชอบลูกศิษย์ที่สู้คนแต่ไม่เกเร นายถัมสมัยอยู่กับท่านพ่อ เวลาจะไปเที่ยวไหนๆ ยามค่ำคืนที่ละแวกแถวบ้านปากน้ำมีงาน ก็จะเข้าไปขออณุญาตจากท่าน ท่านพ่อท่านก็จะให้ไปและท่านก็จะพ่นหัวให้ 3 ที เรียกว่าน้ำหมากติดหัวแดงไปหมดเพราะท่านพ่อท่านชอบฉันมาก และเมื่อนายถัมออกไปเที่ยวรับรองว่าเลือดจะไม่ตกยางไม่ออกแน่นอน ลุงถัมบอกว่าสมัยนั้นแกไปมีเรื่องมีราวหลายครั้งหลายหน เคยโดนแทงล้มคว่ำลง แต่คมมีดหาระคายผิวไม่ ลุกขึ้นมาได้ก็คว้าไม้ไล่ตีคนแทงจนวิ่งกระเจิงไปยันบ้านของคนที่แทงนั้น เคยโดนรุมก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง เรียกว่าสมัยนั้นถึงแกจะตัวเล็ก แต่นักเลงตัวใหญ่พากันคร้ามข้อยิ่งนัก เกรางนความหนังเหนียวนั่นเอง เอ่ยชื่อว่า ไอ้ถัมลูกศิษย์ท่านพ่อสุ่น หามีใครกล้ายุ่งด้วยไม่ ท่านพ่อตอนค่ำถ้านายถัมขอไปเที่ยว ท่านก็จะหรี่ตะเกียงไว้คอยท่านายถัมกลับมา แล้วท่านก็นอนอยู่ใกล้ๆ ตะเกียงนั้น นายถัมกลับมาก็จะรู้เส้นตรงเข้าบีบขาท่านเป็นการประขบทันที ท่านพ่อซึ่งท่านก็เป็นห่วงลูกศิษย์ของท่านอยู่แล้ว ท่านก็จะเอ่ยถามนายถัมทันทีว่า ” ไงอยู่ ไงอยู่ ไอ้ถัมคืนนี้หนักไม๊ หนักไม๊ ” ถ้านายถัมตอบว่า ” หนักเหมือนกันครับท่านพ่อ ” ท่านพ่อท่านก็จะรับลุกขึ้นถามต่อทันทีว่า ” แล้วใครเสียท่า แล้วใครเสียท่า ” นายถัมก็จะตอบแบบยอท่านในตัวทันทีว่า ” ผมลูกศิษย์ท่านพ่อ จะเสียท่าใครได้หรือครับ ผมไล่ต่อยไอ้พวกนั้นกระเจิงไป ” ท่านพ่อท่านก็จะตบเข่าท่านฉาดทันทีแล้วพูดว่า ” นั่นซิวะไอ้ถัม มันต้องอย่างนั้นซิวะ ” นี่เป็นการแสดงถึงความรักของผู้ที่อยู่ในความปกครองของท่าน ไม่ว่า คน หรือสัตว์ จะต้องได้รับความคุ้มครองไม่ให้ได้รับอันตราย และได้รับความคุ้มครองให้อยู่ในความกระพันชาตรีเท่ากันหมด และนายถัมเป็นผู้เข้าใจในอักขระขอม และมีลายมือในการเขียนอักขระขอมสวยงามมาก นายถัมผู้นี้จึงเปรียบดังมือขวาของท่านและในการให้ช่วยลงนั้นท่านจะมีแบบให้ นายถัมดูและให้ลอกตาม เสร็จแล้วท่านก็จะปลุกเสกของท่าน นายถัมเล่าว่า ท่านพ่อท่านมีบารมีเมตตายิ่งนักสัตว์ทุกชนิดขอให้มือท่านถูกหรือได้กินข้าว จากมือท่าน จะพากันเชื่องและรักท่านยิ่งนัก ตอนค่ำๆ ท่านพ่อท่านจะไปก่อไฟให้คอกวัวและคอกม้าของท่านเป็นประจำทุกวัน และถ้าท่านเดินไปคอกม้า ม้าก็จะพากันร้องเสียงดังลั่นไปหมด ถ้าไปคอกวัว วัวก็พากันร้องเสียงอื้ออึงอย่างดีใจ และถ้าท่านเดินไปที่กรงนกเขา นกเขาก็จะพากันคูและขันอวดท่านทันที และสัตว์ทุกชนิดของท่านที่อยู่บนวัดจะไม่ทำกัน เช่นหมาจะไม่ไล่กัดไก่ จะอยู่กันอย่างสงบเป็นที่ประหลาดยิ่งนัก

บุญบารมีสูงยิ่ง

ครั้งหนึ่งท่านพ่อท่านได้ชักชวนลูกพระและชาวบ้านไปหาตัดไม้ที่เกาะช้าง จะเอามาสร้างวัด และนายถัม ก็ติดตามไปด้วย โดยใช้เรือของที่วัดไปเป็นเรือลำใหญ่ เมื่อไปถึงเกาะช้างและตัดไม้เพียงพอแล้วก็พากันกลับ และเมื่อมาถึงอ่าวสนก็พอดีฉันเช้า และกับข้าวก็ไม่มี มีแต่น้ำพริกที่ตำกับพริกแห้ง ผักที่จิ้มก็ใช้หยวกกล้วยจิ้มเอา ท่านพ่อท่านก็จะเดินมาจะร่วมฉันเช้าด้วย และพอจะนั่งท่านก็คงจะเห็นพระและลูกศิษย์ท่านอดกับข้าวกัน ท่านจึงพูดเปรยๆ ขึ้นว่า ” เออ พวกเราหนอจำปีหมีมังไม่มีกินกัน ” ซึ่งคำว่า ” จำปีหมีมัง” ของท่านหมายถึง กับข้าวที่จะกินกันที่ดีกว่านี้นั่นเอง และพอท่านนั่งลง เสียงคนแก่ก็ตะโกนว่าใครที่เป็นลูกศิษย์ลงจากเรือลุยน้ำมาเอากับข้าวถวายพระที แล้วคนแก่คนนั้นก็เดินจ้ำอ้าวจากฝั่งมาที่เรือที่จอดทอดสมออยู่ 
ลุงถัมบอกว่า ชายแก่คนนั้นเป็นคนที่อยู่ที่อ่าวสนนั่นเอง และเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ท่านพ่อลงเรือมาช้า แกก็ลงน้ำแบกกระบุงทูนหัวลุยน้ำขึ้นมาที่เรือ และยกหม้อไก่ต้มจากกระบุงถวายท่านพ่อสุ่น และกับข้าวอื่นๆ อีก 2 อย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ของพวกลูกศิษย์ท่านยิ่งนัก เพราะชายแก่คนนั้นแกทำไมถึงทำกับข้าวมาถวายในช่วงพอเหมาะพอเจาะอย่างนี้ และมาตัดไม้กันและแวะพักที่อ่าวสนโดยบังเอิญจะฉันเช้าแท้ๆ ไม่รู้ว่าชายแก่คนนี้แกรู้ได้ยังไง ถึงทำกับข้าวมาถวายถูก ลูกศิษย์ทุกคนจึงยกมือโมทนา สาธุและสรรเสริญบุญบารมีของท่านไปตามๆ กัน

เป็นผู้มีอำนาจยิ่งนัก

ท่านพ่อสุ่นสมัยก่อนตบะอำนาจท่านดียิ่งนัก ครั้งสมัยที่ท่านอยู่เจ้าเมืองจันทน์สมัยนั้นมาหาท่าน เจ้าเมืองมาที่วัดเพราะได้ข่าวว่า วัดของท่านเต็มไปด้วยนกเขาและมีอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า “ไอ้กะเชอวาง” เป็นนกเขาที่เสียงดูมีเสน่ห์ยิ่งนักไพเราะจับใจ และผู้ใดได้ไปจะเป็นศรีแก่บ้านเรือน เจ้าเมืองคนนั้นคิดว่าถ้ามาเจอไอ้กะเชอวางก็จะขอท่านไป เจ้าเมืองคนนั้นพอก้าวขึ้นบันไดวัดมาก็นั่งคุกเข่าลงคลานแบบใช้หัวเข่า กระเถิบมาจนถึงที่ท่านพอนั่งอยู่และก้มลงกราบท่าน เจ้าเมืองพอกราบท่านเสร็จตาก็สอดส่ายหานกเขา แต่ก็ช่างน่าอัศจรรย์หาพบเจอกรงนกไม่ แกล้งลุกดูนั่นดูนี่จนกระทั่งก็ไม่เจอนกเขาเลย เมื่อไม่พบก็ลาท่านและไม่ได้เอ่ยถามท่านถึงเรื่องนกเขาอีกเลย แสดงถึงความมีอำนาจของท่านว่ายอดยิ่งนัก และท่านพ่อก่อนที่เจ้าเมือง คนนั้นจะมาถึงที่วัด ท่านพ่อท่านได้ยกกรงนกเขาหลายกรงมาแขวนไว้เป็นกระจุกเดียวใกล้ๆกัน และท่านก็ใช้ผ้าเหลืองผืนเดียวคลุมกรงนกเขาทั้งหมดไว้ พอพวกลูกศิษย์ท่านถามว่า “ท่านพ่อคลุมนกเขาไว้ทำไมครับ ท่านพ่อท่านก็ว่า “ไอ้ฉิบชิ”พวกมึงไม่ต้องถามเดี๋ยวพวกมึงจะรู้เอง” และพอเจ้าเมืองมาพวกลูกศิษย์ถึงได้พากันเข้าใจทะลุปรุโปร่ง อ้อ: เป็นอย่างนี้นี่เอง

ลูกศิษย์ท่านพ่อไปชลบุรี

ท่านพ่อสุ่นท่านเกี่ยวพันกับเมืองชลมากเพราะท่านไปอยู่ ถึง 5 – 6 ปี และถึงท่านกลับมาแล้วคนทางบางกะสร้อยก็ยังมาหาท่านอย่างสม่ำเสมอ ใช้เรือมาทีละหลายๆลำมาค้างที่วัดเยี่ยมเยียนท่านแล้วก็กลับและคงจะขอของดี จากท่านไปด้วย ท่านพ่อช่วงนี้อายุท่านก็มากขึ้นทุกที และท่านมีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อ พระอาจารย์มั่น และได้ศึกษาความรู้ทางหมอแผนโบราณจากท่าน จนท่านพ่อท่านมั่นใจแล้ว ว่าเรียนสำเร็จแล้วท่านจึงจะให้ไปรักษาผู้อื่นได้ และต่อมาเมื่อมีคนทางบางกะสร้อยมานิมนต์ท่านให้ไปรักษาโรคให้ ท่านก็เลยให้พระอาจารย์มั่นไปแทน เพราะท่านพ่ออายุท่านมากแล้วและการเดินทางไปบางกะสร้อยก็ ต้องใช้เวลาหลายวัน ท่านจึงใช้พระอาจารย์มั่นไปแทนท่านดังกล่าว หมอแถน ผ่องแผ้ว อายุ 84 ปี ผู้เล่าเรื่องนี้ได้เล่าว่า สมัยนั้นแกไปกับพระอาจารย์มั่นในฐานะลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น และเมื่อไปถึงก็ได้ไปรักษาโรคให้คนแถวบางกะสร้อยหายแทบทุกคน เรียกว่ามารักษากับพระอาจารย์มั่นกี่คนๆ ก็หายหมด จึงทำให้ชื่อเสียงพระอาจารย์มั่นลูกศิษย์ท่านพ่อดังยิ่งนัก ถึงตอนนี้ “หมอฮวด” ซึ่งเป็นหมอประจำอยู่ที่นั่นไม่พอใจที่คนต่างถิ่นมารักษาเก่งกว่าตน จึงมาดักยิงพระอาจารย์มั่นกับนายแถนที่บ้านใบฎีกาชื่อ “นาค” ซึ่งเป็นบ้านที่พระอาจารย์มั่นกับนายแถนพักกัน โดยมายิงตอนค่ำแต่ปรากฎว่าปืนยิงไม่ออก เมื่อยิงไม่ออกหมอฮวดจึงหนีไปเพราะเป็นการยิงซึ่งๆหน้า ลุงแถนเล่าว่าในตัวแกมีสีผึ้งท่านพ่อสุ่นและมีพระอยู่ในนั้น พระนั้นเล็กมากโตกว่าเม็ดงาหน่อยเดียว แกบอกว่าไม่รู้ว่าเป็นพระอะไร และเมื่อเปิดตลับสีผึ้งดูคราวใด พระนั้นจะเดินเป็นทางในตลับสีผึ้ง ลุงแถนบอกว่าท่านพ่อพูดกับแกว่า “พระนี้สามารถปิดโปได้” และนอกจากสีผึ้งแล้วลุงแถนยังมีตะกรุดท่านพ่อคาดไว้ที่เอวอีก และหมอฮวดเมื่อหนีไปแล้วรุ่งเช้าได้มายกมือไหว้ขอรับผิดกับพระอาจารย์มั่น และขอเรียนทางหมอรักษาคนกับอาจารย์มั่น แต่อาจารย์มั่นท่านไม่ยอมรับ และต่อมาพระอาจารย์มั่นกับหมอแถนก็รักษาคนแถวนั้นจนหมด ชื่อเสียงจึงโด่งดังยิ่งนัก และต่อมาก็เดินทางกลับแหลมสิงห์

กรมหลวงชุมพรเคยมาหา

 เรื่องกรมหลวงชุมพรนี้ผมพยายามสืบเสาะค้นคว้าก็ยังไม่กล้าระบุแน่ชัดว่ามา พ.ศ. ไหน แต่มาแน่ๆ เพราะท่านมาสร้างศาลาไว้ที่คลองยายดำ ปัจจุบันนี้อยู่ที่ตำบลพลิ้ว กรมหลวงชุมพรท่านคงจะมาเกี่ยวกับราชการบ้านเมืองด้วย เพราะแหลมสิงห์ตอนนั้นคงเป็นเมืองที่มีความสำคัญไม่ใช่น้อย ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์เพราะฝรั่งเศสเข้ามายึดอย่างที่กล่าวมาแล้ว คนเฒ่าคนแก่หลายคนยืนยันว่า เจ้าองค์นั้นต้องมา 2 – 3 หน จึงจะได้พบท่าน ไม่ทราบว่าเรื่องเป็นประการใดถึงต้องมา 2 – 3 หน คิดว่าท่านคงจะมาเคารพกราบไหว้ เพราะกรมหลวงชุมพรท่านเป็นผู้ชอบศึกษาไสยศาสตร์อยู่แล้ว และมาคราวนั้นท่านคงจะเป็นแม่ทัพเรือนำมา และหลักฐานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชาวบ้านละแวกนั้นได้พระปิดตาของท่านไว้หลายคนเป็นพระปิดตาห้าเหลี่ยม องค์เล็กๆ ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่า พระองค์นี้องค์ภากรณ์ท่านให้ไว้อย่าทำหายหรือให้ใครเป็นอันขาดให้เก็บรักษาให้ดี ท่านพ่อสุ่นช่วงนี้เรื่องราวของท่านก็ไม่ค่อยจะมีอะไรที่โลดโผน นอกจากรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้บรรดาญาตโยม ซึ่งก็เป็นกิจธุระประจำของท่านอยู่แล้ว ชื่อเสียงท่านมาดังกระฉ่อนเพราะลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งชื่อ นายจ๋าย แรตขาว และต่อมานายจ๋ายก็คือ เสือจ๋าย

ลูกศิษย์เป็นเสือ

นายจ๋ายผู้นี้เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิท่านพ่อ รุ่นก่อนนายถัม โดยบวชเณรกับท่านจนเป็นพระ นายจ๋ายบวชพระสึกออกมาก็ได้เลี้ยงหมู และพอขายหมูคนขายหมูก็ให้แบงค์เก๊พอนำเงินไปใช้ก็ถูกตำรวจจับ แต่ระหว่างทางที่คุมตัวมา นายจ๋ายกระโดดน้ำหนีไปได้ นายจ๋ายเมื่อหนีตำรวจมาได้ก็ตามฆ่าพ่อค้าหมูจนตายด้วยความแค้น พอฆ่าคนตายทางตำรวจก็ทำการล่าตัวออกหมายจับ นายจ๋ายผู้นี้จึงกลายเป็นเสือจ๋ายไปโดยปริยาย เสือจ๋ายต่อมาได้ฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตามล่าตัวตายไปหลายคน เพราะเสือจ๋ายเป็นผู้มีอาคมยิ่ง
นัก เสือจ๋ายตามประวัติไม่เคยปล้นมีแต่ขอเงินคนรวยแบ่งให้คนจน เสือจ๋ายผู้นี้ตำรวจไม่สามารถฆ่าได้เพราะยิงก็ยิงไม่ออก เสือจ๋ายสามารถกำบังตัวได้ เช่นคราวหนึ่งถูกตำรวจล่าตัวมากระชั้นชิด เสือจ๋ายก็จะแกล้งหกล้มตำรวจที่ไล่มาก็จะพากันวิ่งเลยกันไปจนหมด บางคราวรู้ว่าตำรวจกำลังตระเวน ตามหาตัวก็จะแกล้งโผล่จากราวป่าให้ตำรวจเห็น พอตำรวจเห็นก็พากันใช้ปืนยิงแต่ก็ยิงไม่ออกเสือจ๋ายก็ยืนหัวเราะแล้วหนีหาย ไป หรือบางทีก็แกล้งจุดใต้เดินผ่านสถานีตำรวจ เพราะสมัยนั้นมีข้อห้ามว่า ห้ามจุดใต้เดินผ่านสถานีตำรวจยามค่ำคืน เสือจ๋ายเมื่อจุดใต้เดินผ่านสถานีตำรวจ ตำรวจที่อยู่ป้อมก็จะถามว่า “ใครจุดใต้เดินผ่านสถานีค่ำๆมืดๆอย่างนี้” เสือจ๋ายก็ตอบว่า “เสือจ๋ายเอง” แล้วก็เดินผ่านไป เสือจ๋ายจึงเป็นที่ปวดหัวของตำรวจสมัยนั้นยิ่งนักเพราะปราบยังไงก็ปราบไม่ ได้ ซ้ำคนที่นำไปปราบก็ถูกเสือจ๋ายฆ่าตายมากขึ้นทุกที เสือจ๋ายถึงจะเป็นเสือหนีเงื้อมมือกฎหมายก็ยังเคารพนับถือท่านพ่อสุ่นยิ่ง นัก วันพระวันใดถ้าท่านพ่อเทศน์โปรดชาวบ้าน เสือจ๋ายจะมาร่วมนั่งฟังเทศน์ด้วยทุกครั้ง เสือจ๋ายจะนั่งฟังเทศน์ตรงมุมมืดข้างต้นเสาเพียงคนเดียวและจะต้องฟังท่านพ่อ เทศน์จนจบทุกครั้งไป มีอยู่คราวหนึ่งเป็นวันพระท่านพ่อท่านก็เทศน์โปรดชาวบ้านเหมือนปรกติเคยทำมา และวันนั้นเสือจ๋ายก็ได้ไปร่วมฟังเทศน์เหมือนเคย และทางตำรวจ ก็คงจะสืบมาแน่นอนแล้วว่า ยังไงวันนี้เสือจ๋ายก็ต้องมาฟังเทศน์ที่วัดแน่ จึงเตรียมกำลังไว้จะจับเสือจ๋าย และที่วัดถึงตอนนี้ท่านพ่อท่านเทศน์ไปได้สักครู่ท่านก็เทศน์แบบเทศน์ไปด่าไป ว่า ” ไอ้จ๋าย ไอ้ฉิบชิ ไปเสียเดี๋ยวตำรวจมาจะทำให้ชาวบ้านที่เขานั่งฟังเทศน์เดือดร้อน” แบบท่านคงจะรู้ว่าเดี๋ยวตำรวจก็ต้องพากันมาล้อมจับเสือจ๋ายแน่ เสือจ๋ายก็ตอบว่า “เดี๋ยวครับท่านพ่อเดี๋ยวผมฟังเทศน์จบแล้ว ผมก็จะไปครับ” ท่านพ่อท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไงท่านก็ด่าว่า “ไอ้ฉิบชิ มึงนี่ดื้อจริงๆ ตามใจมึง” แล้วท่านก็เทศน์ต่อไป พอสักครู่ตำรวจก็กรูกันขึ้นมาบนวัดพากันค้นหาเสือจ๋ายเพื่อจะจับ แต่ก็หาพบเสือจ๋ายไม่ทั้งๆที่เสือจ๋ายก็นั่งอยู่กับที่ไม่ได้ไปไหน เมื่อหาไม่พบตำรวจก็พากันกลับไป เป็นที่งงงันของชาวบ้านที่ไปนั่งฟังเทศน์ยิ่งนัก เสือจ๋ายเป็นผู้เชื่อมั่นในตัวท่านพ่อสุ่นยิ่งนัก และทั้งอำเภอแหลมสิงห์เสือจ๋ายจะกลัวอยู่คนเดียวเท่านั้นคือท่านพ่อ เสือจ๋ายสมัยนั้นเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านยิ่งนัก ทั้งๆที่ไม่เคยปล้นข่มเหงรังแกใคร มีแต่ฆ่าล้างแค้นเสียส่วนมาก เด็กๆสมัยนั้นถ้าร้องให้แล้วถูกขู่ว่าเดี๋ยวเสือจ๋ายมาจะหยุดร้องทันที เสือจ๋ายเป็นผู้มีจิตใจฮึกหาญนัก เช่นมีอยู่คราวหนึ่งที่วัดท่านพ่อ พวกตำรวจสมัยนั้นพากันมาหาท่านกลุ่มหนึ่งมาขอดีจากท่านบ้างมาไหว้ท่านบ้าง และพอตำรวจกลุ่มนั้นลาท่านและก้าวลงกะไดวัดไป อึดใจต่อมาเสือจ๋ายก็ก้าวขึ้นบันไดมาและตรงเข้ากราบท่านพ่อ ท่านพ่อท่านก็รีบหรี่ตะเกียงลงและด่าว่า “ไอ้จ๋าย ไอ้ฉิบชิ มึงมาทำไมไปเสีย คนอย่างมึงมันไม่มีชีวิตชีวังแล้ว เดี๋ยวใครมาเห็นกูจะเสียชื่อตาย ไปเสีย ไอ้ฉิบชิ” เสือจ๋ายก็ตอบว่า “ผมอยู่ใกล้ท่านพ่อผมไม่กลัวอะไรหรอก” ท่านพ่อท่านก็ส่ายหัวด่าว่า ไอ้ฉิบชิ อยู่ 2 – 3 คำ แล้วท่านก็หยุด และเสือจ๋ายจะเข้าบีบนวดท่านทันทีเพราะรู้ใจท่านดีว่าท่านก็ด่าไปอย่างนั้น เอง ท่านพ่อท่านก็ถามว่า มึงอยู่ไหนบ้าง หรือถามอะไรของท่านไปตามเรื่องเพราะท่านก็ห่วงลูกศิษย์ท่านเหมือนกัน พอถามอะไรดีแล้วท่านก็จะไล่เสือจ๋ายกลับ และคราวนี้เสือจ๋ายจะกลับทันทีเพราะใจท่านดีว่า ท่านจะไม่พูดครั้งที่สามอีก เรียกว่าอยู่เป็นลูกศิษย์ท่านมาจนล่วงรู้จิตใจท่านดีว่า ตอนไหนสมควรดื้อ ตอนไหนไม่สมควรดื้อ ท่านพ่อสมัยนั้นท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมายและมีอยู่คนหนึ่งไม่ถูกกับเสือจ๋า ยด้วย และในฐานะศิษย์เดียวกัน ท่านพ่อท่านก็คงมองแล้วว่าต่อไปอาจจะฆ่ากัน ท่านจึงเรียกมาทั้ง 2 คน และทำตะกรุดให้คนละดอกและบอกว่า ” ต่อไปมึงสองคนฆ่ากันไม่ได้หรอก ” และก็จริงดังคำท่าน ต่อมาคนทั้งคู่ก็ผิดใจกันถึงขนาดจ้องเอาชีวิตกัน แต่ก็ไม่สามารถฆ่ากันได้ บางทีเสือจ๋ายไปซุ่มยิงแต่ก็มองไม่เห็นตัวบ้าง และมีเหตุให้แคล้วคลาด
กันไปทุกครั้ง สมดังคำท่านพ่อท่านว่า ” มึงสองคนนี่ฆ่ากันไม่ได้หรอก “

เสือจ๋ายเมื่อหาคนปราบไม่ได้ เพราะไม่รู้จะปราบยังไง ปืนก็ยิงไม่ออก ออกก็ไม่ถูก ถูกก็ไม่เข้า อะไรทำนองนี้ ก็คิดจะกลับตัวโดยจะหนีไปอยู่ที่อื่นสักพัก กะว่าพอให้ตำรวจลืมก็จะกลับมาตั้งตัวเป็นคนดีต่อไปใหม่ แต่ก็ดูเหมือนจะมีกรรมเวร เพราะพอดีมีนายอำเภอคนหนึ่งอาสาทางการมาปราบเสือจ๋าย นายอำเภอผู้นี้ชื่อว่า ” ขุนวาปีนิวาส” นายอำเภอคนนี้มาจากอิสานและเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมคนหนึ่งเหมือนกัน หนังเหนียวปราบเสือร้ายแถบอีสานมาโชกโชน ข่าวว่าเคยจับเสือร้ายๆทีเดียวพร้อมกัน 3 คน นายอำเภอผู้นี้เมื่อมาถึงแหลมสิงห์ และสืบรู้ว่าท่านพ่อสุ่นท่านเป็นอาจารย์ของเสือจ๋าย จึงเข้าไปหาท่านพ่อและพูดว่า “ผมเป็นนายอำเภอรับอาสามาปราบเสือจ๋าย เสือจ๋ายเป็นลูกศิษย์ของท่านให้เรียกตัวมาให้ที” ท่านพ่อท่านก็ว่าเรียกมาคุยกันเรียกให้ได้ แต่ถ้าเรียกมาเพื่อจะจับตัวท่านมาให้ไม่ได้หรอก มันผิดท่านเป็นพระเรียกคนมาให้ถูกจับท่านทำไม่ได้ ถึงตอนนั้นนายอำเภอคงจะโมโหจึงพูดตัดบทกับท่านเป็นทำนองท้าทายเสือจ๋ายว่า “ผมเป็นนายอำเภอ ถ้าปราบเสือจ๋ายไม่ได้ผมจะไม่เป็นนายอำเภอ” และยังพูดดูหมิ่นอีกว่า “เสือจ๋ายมันจะแน่สักแค่ไหน เห็นข่าวว่าปืนยิงไม่ออกแต่ถ้าผมยิงมันต้องยิงออก” นายอำเภอเมื่อพูดเสร็จแล้วก็ลาท่านกลับไป เมื่อเสือจ๋ายมาหาท่านจึงว่า “ไอ้เณร: นายอำเภอเขามาหากู เขาพูดกับกูว่าถ้ายิงมึงไม่ได้เขาจะไม่เป็นนายอำเภอ” แล้วท่านก็พูดสั่งสอนให้เสือจ๋ายหลบหนีไปอยู่ที่อื่นเสียจะได้ไม่ต้องฆ่าฟัน กันให้มีกรรมเวรต่อกัน ถึงตอนนี้ก็คงจะเข้าทำนองว่า เสือพบสิงห์ เสือจ๋ายจึงพูดบอกกับท่านพ่อแบบชายชาติเสือทันทีว่า “ผมก็เหมือนกันถ้าฆ่านายอำเภอไม่ได้ผมก็จะไม่เป็นเสือจ๋าย ให้มันรู้ไปว่าวิชาอาคมใครจะแน่กว่ากัน” ตั้งแต่นั้นมาเสือจ๋ายกับนายอำเภอจึงตามล่ากันเรื่อยมา แต่ก็ไม่มีโอกาสประจันหน้ากันจังๆซักที จนวันหนึ่งทางนายอำเภอสืบทราบว่าเสือจ๋ายได้ไปหลบซ่อนตัวแถวบ้านเขาน้อยซึ่ง อยู่ห่างจากอำเภอแหลมสิงห์ราว 2 – 3 กิโลเมตรจะได้ นายอำเภอพร้อมด้วยกำลังตำรวจ 11 คน จึงพากันไปล้อมบ้านไว้ เสือจ๋ายเมื่อนายอำเภอจะไปถึงได้มีน้องชายมาส่งข่าวแล้วว่า ตำรวจกำลังมาให้รีบหนีไปเสีย เสือจ๋ายจึงถามว่าใครนำมา ใช่นายอำเภอหรือเปล่า พอน้องชายตอบว่าใช่นายอำเภอนำมา เสือจ๋ายจึงไล่ให้น้องชายไปและส่งเงินให้ 500 บาท และว่า “เงิน 500 บาท นี้มึงเอาไว้ทำศพตอนกูตาย วันนี้กูจะต้องฆ่านายอำเภอให้ได้และมึงรีบหนีไปเสีย” เมื่อน้องชายไปแล้วเสือจ๋ายจึงเอาปืนมาสักที่ข้อมือไว้ทั้งข้างซ้ายและข้าง ขวาข้างละกระบอก เตรียม พร้อม ตำรวจเมื่อมาล้อมบ้านไว้แล้วแต่ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นไปบนบ้านเพราะความกลัว เสือจ๋าย ได้แต่ตะโกนให้เสือจ๋ายออกมามอบตัวเมื่อเห็นเสือจ๋ายเงียบ จ่าเซิบก็บุกขึ้นบนบ้านเปิดห้องประจันหน้ากับเสือจ๋ายซึ่งอยู่ในห้องต่างคน ต่างยิงแต่ปืนของจ่าเซิบยิงไม่ออก เสือจ๋ายจึงยิงบ้างถูกเข้าหน้าอกจ่าเซิบตายคาที่ นายอำเภออยู่ข้างนอกได้ยินเสียงปืนเงียบลง จึงบุกขึ้นไปบนบ้านและถลันเข้าไปในห้องประจันหน้ากับเสือจ๋าย เสือจ๋ายจึงว่า “นายอำเภอวันนี้เราก็เจอกันแล้ว เรามาดวลปืนกันให้มันรู้ไปเสียทีว่าใครจะแน่กว่ากัน นายอำเภอก็ลูกผู้ชายเต็มตัว รับคำท้าทันทีและต่างคนต่างก็ยิง นายอำเภอยิงท่านแต่ยิงไม่ออก เสือจ๋ายจึงยิงถูกข้อมือนายอำเภอ และนายอำเภอก็ยิงอีก 2 นัด ลูกก็ด้านทั้ง 2 นัด เสือจ๋ายจึงยิงถูกสีข้างแถวสะเอวอีก นายอำเภอจึงล้มลงหงายหลัง เสือจ๋ายจึงนั่งคร่อมอกนายอำเภอกะจะยิงซ้ำให้ตาย และขณะที่กำลังคร่อมนายอำเภออยู่นั้นตำรวจคนหนึ่งชื่อ “เป้า” ได้เข้ามาข้างหลัง ตามธรรมดาเมื่อเสือจ๋ายหันมาเห็นจะยิงก็คงตาย แต่เสือจ๋ายหันมาเห็นก็ไม่ได้สนใจเพราะเคยกินน้ำสาบานกันมาว่าจะไม่ทำกัน ตำรวจคนนั้นเมื่อเห็นเสือจ๋ายไม่ระวังตัวจึงใช้ด้ามปืนแบบปืนพระรามหกตี ท้ายทอยเสือจ๋ายสุดแรงจนล้มคว่ำลง แล้วจึงตะโกนเรียกตำรวจที่อยู่ข้างล่างให้ขึ้นมาช่วยกันใช้ด้ามปืนรุมตีจน เสือจ๋ายตายจริงๆ จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก จึงใช้ปืนยิงซ้ำแต่ปืนก็ยิงไม่ออก หนึ่งในจำนวนนั้นจึงออกหัวคิดให้เยี่ยวรดเสือจ๋ายเป็นการล้างของดีออกจากตัว แต่เมื่อเยี่ยวรดแล้วก็ยังยิงไม่ออกอีก ทีนี้ทุกคนจึงช่วยกันค้นหาของตามตัวเสือจ๋าย เช่น ตะกรุด, ผ้ายันต์, พระ ถอดออกจากตัวเสือจ๋ายจนหมดแล้วใช้ปืนยิงคราวนี้ปรากฏว่ายิงออกจึงช่วยกันรุม ยิงจน มั่นใจว่าตายแล้วแน่นอน แล้วจึงช่วยกันหามร่างนายอำเภอลงมารวมทั้งศพจ่าเซิบด้วย แต่นายอำเภอทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สิ้นใจตายตามเสือจ๋ายไปด้วย ทางเสือจ๋ายญาติพี่น้องก็เอาตัวไปเผา ส่วน พระ, ตะกรุด, ผ้ายันต์ คนที่เห็นเล่าว่ามีเป็นกองๆ ต่างคนต่างหยิบฉวยเอากัน แต่ที่แย่งกันหาคือตะกรุดโทนท่านพ่อ และตะกรุด 3 กษัตริย์ แต่ก็ไม่ทราบว่าผู้ใดได้ไป

ท่านพ่อเมื่อมีคนไปบอกกับท่านว่าเสือจ๋ายถูกรุมตีตาย ท่านก็นั่งอึ้งไปแล้วท่านก็ว่า “ไอ้จ๋าย ไอ้ฉิบชิ มันฆ่าเขามามากมายนัก มันก็ต้องถูกเขาฆ่าบ้างเหมือนกัน มันหมดเวรกรรมแล้ว ไอ้ฉิบชิ ท่านพ่อท่านคงเสียใจเหมือนกัน ในการที่ลูกศิษย์ท่านตาย เพราะท่านรู้ดีว่าลูกศิษย์ท่านถูกเขาตราหน้าว่าเป็นเสือ ทั้งๆที่ไม่เคยปล้นใครเป็นเสือเพราะเขารังแกกลั่นแกล้ง จึงต้องเป็นเสือ และพอรู้ว่าถูกเพื่อนร่วมน้ำสาบาน ทรยศใช้ด้ามปืนตีตอนเผลอท่านก็ว่า “ไอ้ฉิบชิ มันเป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน แล้วมาทรยศกันมันจะเจริญได้อย่างไรวะ” และนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นคำประกาศิตท่านตำรวจคนนั้นต่อมาก็มีเหตุให้ต้องออก จากตำรวจ และบั้นปลายชีวิตตอนตายต้องดิ้นทุรนทุรายกระเสือกกระสนจนกว่าจะตายได้ ทรมานอยู่นานจึงจะสิ้นใจ และมีตำรวจที่ไปด้วยและได้ร่วมรุมตีเสือจ๋ายมาคุยลั่นที่วัดว่าเป็นผู้ตี เสือจ๋ายสุดแรงเกิดด้วยด้ามปืน แบบจะโม้อวดชาวบ้านที่ยืนฟังอยู่ท่านพ่อท่านได้ยินเข้าท่านก็ว่า “ไอ้ฉิบชิ กูว่ามึงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเหมือนหมามากกว่า “ตำรวจคนนั้นถึงกับอายหยุดเงียบทันที ท่านพ่อสุ่น สมัยนั้นท่านเป็นผู้มีตบะอำนาจยิ่งนัก ท่านว่าใครจะไม่มีใครกล้าโกรธท่านเถียงท่านเพราะชื่อเสียงความเป็นจริงของ ท่านดังมาแต่ครั้งสมัยฝรั่งเศส ยึดแหลมสิงห์อยู่แล้ว

พิธีปลุกเสกตะกรุดของท่านพ่อสุ่น

ท่านพ่อสุ่นเมื่อท่านจะทำพิธีลงตะกรุด 3 กษัตริย์นั้น ท่านจะทำพิธีอย่างที่ว่าพิถีพิถัน ท่านจะล้อมวงสายสิญจ์ และจัดของบูชาครูอาจารย์ดังนี้ หัวหมู 9 หัว บายศรี 9 ต้น และข้าวตอกดอกไม้ และคนที่จะเข้าพิธีนอกจากพระแล้วผู้ที่เป็นฆราวาสซึ่งจะเข้าไปร่วมท่านจาร ยันต์ต่างๆใส่แผ่น ทอง นาค เงิน จะต้องนุ่งขาว ห่มขาว และมีความรู้ทางอักขระขอมเข้าใจยันต์พระคาถา และจะต้องรับศีล 5 มาแล้ว จึงจะเข้าร่วมพิธีในวงสายสิญจ์ได้ และวันนั้นถ้าผู้ใดจะต้องการจะให้ท่านทำตะกรุดไว้ใช้ป้องกันตัวก็ให้นำแผ่น ทองมา 1 บาท นาค 1 บาท เงิน 1บาท แผ่มาให้ท่าน ท่านก็จะจานและปลุกเสกให้ และถ้าผู้ใดมีประวัติทางเจ้าชู้ผิดลูกผิดเมียเขา ถ้านำแผ่นทอง นาค เงินมาลงกับเขาด้วย ท่านก็จะว่า ” มึงอย่ามาลงเลย ถึงมึงลงไปก็ใช้ของไม่ขึ้นหรอก ของของกูเขาห้ามนักในข้อนี้ ” ท่านพ่อถึงท่านจะพูดอย่างนี้ พอถึงเวลาท่านก็จะลงจารและปลุกเสกให้ ที่ท่านพูดอย่างนั้นเท่ากับเป็นการสอนคนผู้นั้นไปในตัวว่าให้เลิกประพฤติผิด ลูกผิดเมียเขาเสีย แต่ความอาถรรพ์ของตะกรุดของท่านก็มีเหมือนกัน คนที่ประพฤติผิดลูกผิดเมียชาวบ้านมักจะมีเหตุผลให้ลืมคาดตะกรุดของท่านติด ตัวไปเมื่อมีเหตุการณ์คับขัน ดังเช่น เรื่องนี้ เสือจ๋ายได้เคยประสบกับ อภินิหารของตะกรุดท่านด้วยตนเอง และมาเล่าให้ท่านฟังที่วัด เสือจ๋ายมีเรื่องขัดใจอย่างรุนแรงกับผู้ที่มีตะกรุด 3 กษัตริย์ท่านพ่อคนหนึ่ง แต่คนผู้นี้มีประวัติชอบเป็นชู้กับลูกเมียชาวบ้าน เสือจ๋ายจึงไปซุ่มอยู่ใต้ถุนบ้านกะว่าจะลอดร่องยิง เสือจ๋ายเมื่อลอดร่องขึ้นไปก็เห็นตะกรุด 3 กษัตริย์ท่านพ่อแขวนไว้ที่เสา เจ้าของตะกรุดที่ตนเองจะยิงก็นอนอยู่ใกล้ๆ เสานั้น เสือจ๋ายจึงใช้ปืนลอดร่อง แต่พอจะเหนี่ยวไกปีน ตะกรุดที่แขวนไว้ที่เสาหัวนอนก็ตกลงมา ทำให้เจ้าของตะกรุดรู้ตัวจึงไปหยิบตะกรุดมาแขวนไว้อีก เสือจ๋ายถือเคร่งนักจะไม่ยอมยิงในขณะที่คนผู้นั้น ถือตะกรุดท่านพ่อไว้เป็นอันขาด ทั้งๆ ที่โอกาสดี เพราะถ้ายิงก็จะไม่เป็นการเคารพครูบาอาจารย์ของตนเองไป จะเข้าทำนองว่าลูกศิษย์คิดลองของอาจารย์ เสือจ๋ายจึงรอให้แขวนตะกรุดให้เสร็จและพอคนผู้นั้นล้มตัวลงนอน เสือจ๋ายก็ใช้ปืนลอดร่องจะยิงอีก และพอจะเหนี่ยวไก ตะกรุด 3 กษัตริย์ที่แขวนไว้ก็ตกลงมา เป็นอยู่อย่างนี้ 5 -6 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเสือจ๋ายจึงค่อยย่องออกมา และเมื่อไปหาท่านพ่อสุ่น เล่าให้ท่านฟังว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ท่านพ่อท่านก็ว่า ” ไอ้จ๋าย ไอ้ฉิบชี่ ก็คนเขายังไม่ถึงฆาต มึงจะไปยิงเขาได้ยังไงวะ และตะกรุดกูลงให้เขาไป ก็ต้องคุ้มครองเขาบ้างสิวะ ไม่งั้นก็เสียชื่อก็หมดนะสิ ไอ้ฉิบชี่ ” แล้วท่านก็หัวเราะของท่าน นี่เป็นการแสดงถึงอำนาจพุทธคุณตะกรุด 3 กษัตริย์ ของท่านว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก สามารถคุ้มครองรักษาชีวิตผู้เป็นเจ้าของได้ แม้จะประพฤติชั่วก็ตามที แต่ชายผู้นี้ต่อมาก็ถูกเสือจ๋ายยิงตายจนได้ เพราะไปธุระนอกบ้านและขากลับระหว่างทางเสือจ๋ายซุ่มรออยู่ และตอนตายหามีตะกรุดท่านติดเอวไม่ และครั้งหนึ่งเสือจ๋าย ถูกนางตะเคียนหลอกหลอน เสือจ๋ายเล่าให้ท่านพ่อฟังว่า คืนหนึ่งในระหว่างที่เดินจากบ้านเขาน้อย และใกล้จะถึงโรงเรียนวันครูปัจจุบันนี้ ขณะที่ผ่านต้นตะเคียนซึ่งสูงใหญ่มากเป็นร้อยๆ ปี คืนนั้นเดือนหงาย เสือจ๋ายได้ยินเสียงต้นตะเคียนสั่นจึงหันไปมองบนยอดตะเคียนและเห็นผู้หญิง แก่คนหนึ่งได้ลงมาจากยอดตะเคียนเรื่อยลงมาจนถึงโคน นมทั้งสองข้างยาวถึงดิน ผีนางตะเคียนก็หยิบนมทั้งสองพาดบ่า นมซ้ายพาดบ่าขวา นมขวาพาดบ่าซ้าย และตรงเข้ามาหาเสือจ๋ายทำท่าจะบีบคอ แต่เสือจ๋ายหากลัวไม่ ชักปืนออกมาจะยิง พอจะยิงผีนางตะเคียนก็จะหายไป แล้วก็ปรากฎร่างขึ้นมาใหม่พอจะยิงก็หายไปอีก ผีนางตะเคียนต้นนี้แรงมาก เพราะอายุเป็นร้อยปี พัวพันเสือจ๋ายไว้อยู่นานเสือจ๋ายก็หมดปัญญา ครั้งสุดท้ายจึงอาราธนาพระพุทธคุณของท่านพ่อสุ่นเป่าไปที่ผีนางตะเคียนก็หาย ไป และไม่ปรากฎร่างขึ้นอีก เสือจ๋ายเมื่อไปถึงวัดเล่าให้ท่านพ่อฟัง ท่านพ่อท่านก็หัวเราะ แล้วว่า “ไอ้จ๋าย ไอ้ฉิบชี่ เดี๋ยวขากลับมึงเอาผ้ายันต์กันผีกูไป ดูซิว่าผีนางตะเคียนจะหลอกมึงอีกหรือเปล่า และมึงจงไปนอนใต้ต้นตะเคียนต้นนั้นดูสักพัก ดูซิว่ามึงจะโดนหลอกมั้ย” ผีนางตะเคียนก็หาได้กล้าหลอกหลอนไม่ คงจะคร้ามเกรงในอำนาจพุทธคุณผ้ายันต์ของท่านพ่อนั่นเอง และเรื่องตะกรุดของท่านพ่อ สมัยที่อธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ยังอยู่ ได้เคยมีคำสั่งให้ตำรวจท้องที่หาตะกรุดท่านพ่อสุ่น และสีผึ้งของท่านไปให้ แต่ไม่ทราบว่าตำรวจท้องที่หาให้ได้หรือเปล่า แสดงว่า พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนนท์ คงจะเคยประสบกับอภินิหารของตะกรุดกับสีผึ้งของท่านมา ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีคำสั่งให้ตำรวจท้องที่หาให้แน่นอน

พระตะกั่ว

พระตะกั่วหลวงพ่อสุ่น นี้เป็นพระตะกั่วที่สร้างขึ้นมาโดยลูกพระในวัดแกะ พิมพ์ขึ้นมาเป็นพระที่มีหลายแบบ หลายพิมพ์ อายุสร้างประมาณอย่างต่ำๆ อยู่ในระหว่าง พ.ศ. 2450 กว่าๆ ควบไปจนถึง พ.ศ. 2470 แกะพิมพ์โดยใช้หินมีดโกนแกะทำพิมพ์ขึ้นมา และที่ตะกั่วที่ใช้เทนั้นจะต้องหลอมไล่ขี้ตะกั่วออกเสียก่อน เมื่อไล่ขี้ตะกั่วออกหมดแล้วก็จะหลอมเทลงในพิมพ์ที่แกะขึ้น เมื่อเสร็จแล้วก็นำมาถวาย ให้ท่านจารและปลุกเสกให้ ช่วงแรกๆ การสร้างพระน้อยท่านก็จารเพียงองค์เดียว แต่ทำมากๆ เข้า ท่านก็ให้ท่านพ่อ “ปาน” ซึ่งเป็นเพื่อนของท่านและมาจากวัดบางสระเก้าด้วยกันช่วยจารให้ และการปลุกเสกท่านจะทำพิถีพิถันมาก เรียกว่าท่านต้องมั่นใจแล้วว่าดีจริง ท่านถึงจะอนุญาตให้เอาไปได้ ชาวบ้านคนไหนมาหาท่าน ท่านก็ให้ไปหยิบพระในถาดมาแล้วท่านก็จะมอบให้ ผู้ใดจะเอา 5 – 6 องค์ อ้างว่าเอาไปฝากคนทางบ้านท่านก็ไม่ว่า ที่มาไกลๆ หน่อยมาหาท่านและขอของดีจากท่าน ท่านก็ให้หยิบพระตะกั่วไปชนิดที่ว่าพอใจจะเอา พอพระตะกั่วนี้หมดจากถาด ลูกพระในวัดก็จะช่วยกันทำขึ้นมาใหม่อีก บางทีพิมพ์ใหม่ใช้ได้ก็ใช้กันต่อไป พระลูกวัดพอหล่อพระเสร็จก็นำมาใส่ถาดถวายไว้ให้จารและปลุกเสกให้ พระของท่านพ่อจึงมีไม่ใช่น้อยๆ เพราะสมัยนั้นใครๆ ก็เคารพนับถือท่าน เมื่อผู้ใดมาที่วัดและได้พระตะกั่วไป และไปพูดอวดคนที่ยังไม่ได้คนที่ยังไม่ได้ก็จะพากันมาเอา เพราะลงว่าท่านปลุกเสกและจารให้ เรื่องพุทธคุณนั้นคงไม่ต้องบรรยายกันมาก และก็มีเหมือนกันที่ชาวบ้านบางคนคงจะมาเห็นพิมพ์ที่วัดแล้วเรียกว่าไม่สวย เหมือนที่ตัวเองชอบ ก็จะหล่อพระตะกั่วนี้มาจากบ้านเองเลยและนำมาถวายท่านให้ท่านจารและปลุกเสก ให้ พอกะว่าท่านจารและปลุกเสกให้แล้วก็จะมาเอา บางคนทำมา 10 องค์ ก็เอากลับบ้าน 5 องค์ อีก 5 องค์ถวายไว้ให้ท่านสำหรับแจกชาวบ้านคนอื่นที่ยังไม่มีต่อไป เรื่องพระตะกั่วท่านพ่อสุ่นนี้ ต่อมามีกุหร่าคนนี้ ( กุหร่าเป็นเชื้อสายไทยใหญ่ ) ได้มาอยู่ที่วัด กุหร่าผู้นี้เป็นผู้ที่มีฝีมือทางสักยันต์และแกะพิมพ์พระสวยงาม พูดไปก็พูดได้ว่า กุหร่าผู้นี้เป็นผู้แกะพิมพ์พระตะกั่วประจำวัดสมัยมาอยู่ก็ว่าได้ เพราะใครมาเห็นก็ชมว่าแกะพิมพ์สวยงามทุกคน กุหร่าผู้นี้จึงเป็นผู้แกะพิมพ์พระแทบจะคนเดียว และกุหร่าผู้นี้อายุการสร้างต่างกัน ผิวของพระตะกั่วจึงไม่เท่ากัน ถ้าเป็นพระที่สร้างราว พ.ศ. 2450 พระจะออกไขหนาและจะเกิดสนิมแดง แต่จะพบไม่กี่องค์ มาตอนปลายชีวิตท่าน อายุของพระตะกั่วก็อ่อนลงไป มีไขบางๆ เรื่อๆ หรือบางองค์เจ้าของได้มาและไม่ได้ใช้ เลยใส่พานหรือห่มผ้ายันต์ไว้พระก็จะมีคราบตะกั่วอยู่ดูเหมือนว่าจะเป็นพระ ใหม่ แต่ถ้าส่องกล้องดูความเก่าของตะกั่วก็จะฟ้องตัวเองว่าเป็นพระที่มีอายุ คำนวณอายุพระตะกั่วของท่านถ้าสร้างตอน พ.ศ. 2450 อายุพระตกมาถึงปัจจุบันนี้ก็ 96 ปี ถ้าสร้างระหว่างกลางๆ ชีวิตท่าน คือ พ.ศ. 2460 – 2465 อายุก็ราว 60 กว่าปี ถ้าปลายชีวิตท่านคือ พ.ศ. 2469 – 2470 อายุก็ราว 60 กว่าปี นี่เป็นข้อเปรียบเทียบอายุพระตะกั่วของท่านโดยย่อๆ พระตะกั่วนี้ปลายชีวิตท่านคือ พ.ศ. 2469 – 2470 มีการสร้างน้อยมาก เพราะสุขภาพร่างกายท่านย่ำแย่ทรุดโทรมลง

สรุปแล้วพระตะกั่วของท่านที่เเกะพิมพ์โดยกุหร่า จะสวยกว่าพิมพ์ที่แกะโดยลูกพระในวัด และที่ชาวบ้านแกะมา และการจารของพระท่านก็หาข้อยุติยาก เช่นว่า บางทีพิมพ์เดียวกัน องค์หนึ่งลงเหล็กจาร อีกองค์หนึ่งไม่ลงเหล็กจารก็มี หรือบางทีพิมพ์เดียวกัน 3 – 4 องค์ จารไม่เหมือนกันก็มี และเคยเจอพระตะกั่วหลวงพ่อสุ่น พิมพ์เดียวกัน 3 – 4 องค์ แต่ตัดองค์พระไม่เหมือนกันก็มี คือตัดปลายบนองค์พระยาวกว่ากันบ้าง สั้นกว่า กันบ้าง เป็นต้น เพราะเนื้อตะกั่วเป็นเนื้อที่อ่อนง่าย บางทีหยอดตะกั่วลงในพิมพ์หนาบ้าง บางบ้าง และก็มีเหมือนกันที่เคยเจอพระตะกั่วพิมพ์ที่มียันต์นูนในตัวโดยไม่จารแต่พบ น้อยมาก น้อยจนแทบไม่มี และทำพระกันมากในช่วงที่เสือจ๋ายอยู่กันมาก เรียกว่ามาขอพระจากท่านสำหรับไว้ป้องกันเสือจ๋ายก็ว่าได้ เพราะชาวบ้านพากันกลัวเกรงเสือจ๋ายยิงนัก

การจารพระตะกั่วของท่าน การจารองค์พระถ้าองค์ไหนมีจารจะจารมาก องค์ไหนถ้าไม่จารก็ไม่จารเลย หรือบางองค์พิมพ์เดียวกัน 3 – 4 องค์ จารทั้งหน้าทั้งหลัง บางองค์จารหลังไม่จารหน้า และเคยเจอพระพิมพ์เดียวกัน 10 กว่าองค์ไม่ลงเหล็กจารเลยสักองค์เดียวก็มี ฉะนั้นจึงเป็นการยากพอสมควร ในการจดจำพระของท่าน

ท่านพ่อสุ่นมรณะภาพ

ท่านพ่อสุ่นเมื่อเสือจ๋ายตายแล้วท่านก็ปกครองวัดของท่านเรื่อยมา ชีวิตท่านแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน ญาติโยม คนไหนป่วยเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ถูกคุณถูกกระทำ เมื่อมานิมนต์ท่านๆก็จะไปให้ทุกคนไม่เคยขัด คนที่ถูกผีเข้าเจ้าสิง พอท่านก้าวขึ้นบันไดบ้านคนนั้นผีจะพากันร้องและออกไปทันที ฉะนั้นท่านพ่อจึงเป็นที่พึ่งของสัตว์ผู้ยากโดยแท้ เป็นเสมือนกิ่งโพธิ์กิ่งไทร ให้ลูกนก ลูกกา อาศัย และลงว่าผู้ใดมานิมนต์ท่านให้ทางลำบากยังไงท่านก็ต้องดั้นด้นไปจนได้ จะหาผู้ใดเสมอเหมือนท่านไม่มีอีกแล้ว และสาเหตุที่สำคัญที่บั่นทอนสุภาพร่างกายของท่านก็คือ ถนนหนทางสมัยก่อนขรุขระลำบากมาก ทางซักกิโลนั่งเกวียนไปเกวียนก็กระแทกกับถนนซึ่งเป็นหลุมเป็นบ่อ ร่างกายของท่านก็ทรุดโทรมลง ประกอบกับไม่มีเวลาพักผ่อน สังขารของท่านจึงทรุดโทรมเรื่อยมา แต่ท่าน พ่อท่านไม่เคยปริปากบ่นให้ใครได้ยิน แม้แต่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด และในที่สุดก็เป็นวัฏฏะของชีวิตว่าจะต้องมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย ท่านพ่อสุ่นท่านก็เริ่มเจ็บออดๆแอดๆเรื่อยมาด้วยโรคชรา และเมื่อสุดจะทนฝืนสังขารต่อไปได้ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ วันพฤหัสบดี เดือน 3 แรม 5 ค่ำ พ.ศ. 2471 (ต้นรัชกาลที่ 7 ) ท่านก็ถึงกาลมรณะภาพลงด้วยโรคชราอย่างสงบ รวมอายุท่านได้ 77 ปี 57 พรรษา วันที่ท่านพ่อสุ่น มรณะภาพลงนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไปซักถามจะพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า “วันนั้นเหมือนดวงอาทิตย์ดับที่แหลมสิงห์ ” ทุกบ้านเรือนเงียบเหงาวังเวง ทุกคนมุ่งหน้าเข้าสู่วัดทั้งๆที่หน้านองด้วยน้ำตา ทุกคนช่วยกันคนละไม้ละมือจัดการงานศพท่าน พวกบางกะสร้อยเมืองชล เมื่อรู้ข่าวก็พากันมาหลายสิบลำเรือ ขนข้าวขนของมาช่วยงาน หลวงพ่อภูและพระทางเมืองชลหลายสิบรูปพร้อมใจกันมาช่วยงานศพท่าน และได้ประชุมลงความเห็นกันว่าสมควรจะนำศพท่านไว้ที่วัดสำหรับไว้ให้ลูกศิษย์ ลูกหา และชาวบ้านเคารพกราบไหว้กันก่อน แล้วค่อยประชุมเพลิงศพท่านทีหลัง

ทางวัดจึงนำศพท่านไว้ที่วัดจนถึง เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2472 จึงพร้อมใจกันจัดการประชุมเพลิงศพท่าน และให้มีการแสดงมหรสพทุกชนิด จัดว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดตั้งแต่จัดงานกันมา ผู้คนจากสารทิศหลั่งไหลมาช่วยงานท่านแน่นวัดไปหมด พวกมาจากบางกะสร้อย เมืองชลพากันมาเนืองแน่นอีกครั้ง หลวงพ่อภูเป็นประธานจัดการแต่งศพท่านอย่างสวยงาม พวกผู้หญิงที่มาจากบางกะสร้อยพากันแกะสลัก ฟัก แฟง แตงกวา เป็นรูปลวดลายต่างๆอย่างสวยงามใส่เรือมา ทำกับข้าวให้คนกินเนื่องในวันประชุมเพลิงศพท่าน พระจากเมืองจันทน์และใกล้เคียงพร้อมใจกันมาช่วยงานท่านหลายสิบรูป พระพื้นบ้านก็มี หลวงพ่อยวน วัดเขาชำห้าน หลวงพ่อทอก วัดหนองชิ่ม หลวงพ่อจิ่ม วัดไผ่ล้อมท่าใหม่ มาเป็นผู้ทำพลุ ตะไล ไฟพะเนียง อีตื้อ โดยหลวงพ่อจิ่มมาอยู่เตรียมการก่อนเกือบครึ่งเดือน และหลวงพ่อจิ่มได้ทำ นกบินกลับรังคือ ทำโครงไม้ไผ่เป็นรูปนกและพอจุดไฟ นกโครงไม้ไผ่ก็ร่อนออกไป และเมื่อหมดเชื้อไฟก็บินกลับมาตกที่เดิมได้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านยิ่งนัก และการประชุมเพลิงศพท่านพ่อสุ่นนั้น ลำบากมากเพราะทำท่าว่าจะเผาไม่ไหม้ ต้องมีการจุดธูปเทียนขอขมาลาโทษหลายคน เมื่อประชุมเพลิงศพท่านเสร็จ ทางวัดจึงรวบรวมอัฏฐิท่านไว้ที่วัดต่อไป

และต่อมาจนถึงวันที่ 2 เมษายน 2480 บรรดาศิษย์ยานุศิษย์ระลึกถึง พระคุณท่าน จึงพร้อมใจกันก่อเจดีย์ เชิญอัฏฐิท่านมาบรรจุไว้เพื่อให้ลูก หลานที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เคารพ กราบไหว้ระลึกถึงคุณงามความดีของท่านต่อไป และวันนั้นทางวัดได้สร้างเหรียญรูปท่านขึ้นมาแจกแก่ผู้ไปร่วมงาน เรียกว่า 2480

บทส่งท้าย ท่านพ่อสุ่นทุกวันนี้ลูกหลานเหลนของท่านยังอยู่มากก็ที่ ตำบลบางสระเก้า และหลวงพ่อแสง เจ้าอาวาสวัดบางสระเก้า ปัจจุบันนี้มีศักดิ์เป็นเหลนของท่าน และมีรูปร่างใกล้เคียงกันมาก และท่านก็เป็นพระที่ชาวบ้านบางสระเก้านับถือกันมาก

อ่านประวัติวัดเพิ่มเติมภายในเว็บไซต์ : http://www.web-pra.com/Amulet/วัดปากน้ำแหลมสิงห์

 

ข้อมูลอ้างอิง : เว็บไซต์ทางวัด  http://www.watpaknamlaemsing.org/index.php