ประวัติและปฏิปทา
พระครูพุทธบทเจติยารักษ์
(ครูบาพรชัย ปิยวัณโณ)
วัดพระพุทธบาทสี่รอย
ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
• เกิด
วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐
ณ บ้านสันกำแพง ต.สันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
เป็นบุตรนายชุมพร กิริยา และนางประทุมมา กิริยา
• บรรพชา
เป็นเด็กวัดสันกำแพง ตั้งแต่อายุได้ ๖ ขวบ
บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุ ๑๓ ปี
ณ วัดสันกำแพง ต.สันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
• อุปสมบท
อุปสมบท ณ วัดสันป่ายาง ต.สันป่ายาง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
โดยมีพระครูวิจตรคุณสาร เป็นพระอุปัชฌาย์
พระครูอุดมธรรมพิราช เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และพระมหามิ่งมิตร เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับนามฉายาว่า “ปิยวัณโณ” แปลว่า ผู้มีวรรณะอันเป็นที่รัก
• การศึกษา
สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖
• การปฏิบัติ
ท่านได้ธุดงค์มาพักที่วัดร้างสันป่าตึง วัดพระเจ้าตนหลวง ต.สันป่ายาง
เชิงเขาพระพุทธบาทสี่รอย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐
เมื่อครั้งยังเป็นสามเณร อยู่ที่นี่ประมาณ ๒ เดือน
ได้นั่งสมาธิเห็นนิมิตเป็นปราสาทหลังใหญ่สวยงามมากอยู่บนเขาสูง
และได้เดินขึ้นบันไดไปยังปราสาท และเห็นรอยพระพุทธบาทอยู่ในปราสาท
พอรุ่งขึ้นออกบิณฑบาตและฉันเสร็จ
ก็มีญาติโยมมาเล่าเรื่องพระพุทธบาทสี่รอยให้ฟังว่า
มีพระพุทธบาทสี่รอยอยู่บนภูเขา
ห่างจากที่พักไปประมาณ ๒๒ กิโลเมตร
โยมได้เล่าต่อไปว่าพระพุทธบาทสี่รอยมีความศักดิ์สิทธิ์
มีถ้ำอยู่ตรงพื้นพระพุทธบาทสี่รอย
พระเณรที่มากินอยู่ประจำมักอยู่ไม่ค่อยได้
นอกจากนี้ช่วงบ้านที่อยู่บริเวณพระพุทธบาทสี่รอย
มีความรู้สึกเหมือนมีความผูกพันเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
เหมือนกับเคยอยู่ที่นี่มาก่อน
และเมื่อได้เห็นรอยพระพุทธบาทก็เหมือนได้เห็นในนิมิต
เมื่อจะเดินทางกลับไปยังที่พักวัดร้าง
ญาติโยมที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านพระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งขณะนั้นยังเป็นวัดร้าง
จึงได้กลับไปยังวัดร้างเชิงเขา เพื่อลาญาติโยมในบริเวณนั้น
แต่ญาติโยมทั้งหลายก็ไม่ยอมให้ขึ้นมาอยู่ที่พระพุทธบาทสี่รอย
ด้วยเหตุผลว่าพระเณรอยู่ประจำกันไม่ค่อยได้
เนื่องจากเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมีสิ่งอัศจรรย์
ดังนั้น พอตกกลางคืนประมาณตีสอง จึงได้หวนขึ้นมาพระพุทธบาทสี่รอย
และมาจำวัดอยู่ประจำ ในช่วงเป็นสามเณรอยู่ได้ ๑ พรรษาเพียงองค์เดียว
และต่อมาบวชเป็นพระอยู่องค์เดียวได้ ๘ พรรษา
จนพรรษาที่ ๙ มีพระมาจำพรรษาอยู่ ๑๑ รูป
[พระอุโบสถทรงจตุรมุขของวัดพระพุทธบาทสี่รอย]
[รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ พระองค์ที่ล่วงมาแล้วในภัทรกัป ประทับซ้อนกัน]
เมื่อก่อนมีถ้ำตรงพื้นนี้แล้วก็มีทรัพย์สมบัติอะไรอยู่ตรงนี้
ในยุคพระศรีอริยเมตไตรย จึงเปิดทรัพย์สมบัติให้คนได้มา
(ว่ากันว่าใต้ฐานของพระพุทธบาทมีทรัพย์สมบัติของคนโบราณฝังไว้
พอยุคของพระศรีอริยเมตไตรยจึงจะเปิดออกมาได้)
แล้วก็แต่ก่อนคล้ายๆ เขาเล่ามันเฮี้ยนหน่อย พระชีขึ้นมาอยู่บ่ได้
โดนผีหลอก โดนอะไรบ้าง อยู่ไม่ได้ที่นี้ เราเดินธุดงค์มา
มาอยู่ข้างล่างมาอยู่วัดร้างตรงที่สันป่าตึง พอดีโยมเขาเล่าให้ฟัง
ข้างบนนี่บ่มีพระอยู่ พระองค์ไหนมาอยู่ก็อยู่บ่ได้
บางทีนั่งสมาธิอยู่ดีๆ ก็โดนตบกระหม่อมอะไรก็มี อยู่บ่ได้ผีหลอก
ญาติโยมชาวบ้านมาอยู่แถวนี้ก็อยู่ไม่ได้ต้องหนี ไม่ก็ตาย
พอเรามา โอ๋ ! (นึก) อยากไปอยู่ที่เฮี้ยนๆ จิตมันจะได้รวม
ถ้าอยู่ที่ไม่กลัว ภาวนามันขี้เกียจ ถ้าอยู่ที่กลัวๆ มันขยันหน่อย
ตอนมาครั้งแรกๆ มีกุฏิเก่าๆ ข้างหลังนั่นน่ะ ตอนนั้นไม่รู้จักใคร
พอตอนเช้าบิณฑบาต ชาวบ้านใส่บาตร ก็ถามว่า
เป็นไงตอนกลางคืนผีหลอกไหมเมื่อคืนนี้ เราก็สงสัยว่าทำไมชาวบ้านมาถามแบบนี้
ก็ได้ตอบไปว่า เปล่า ! ผีหลอกหรอก แต่แผ่นดินมันไหว แล้วที่บ้านแผ่นดินไหวบ่
เขาว่ บ่ไหว แผ่นดินไหวประมาณ ๔ ทุ่ม แล้วมันไหวแค่กุฏิที่เราอยู่
มันไหวแบบนอนบ่ได้ ก็เลยตักน้ำมาตั้งไว้ ก็ไม่ไหวก็เลยอยู่นั่นน่ะ
อยู่ไปอีก ๒-๓ คืน ตอนเรานอนเหมือนกับคนมาจับเท้าเรายกขึ้น
แล้วปล่อยลงกระแทกอย่างแรง แต่นั้นก็ทำสมาธิแผ่เมตตา
มีตอนหนึ่งเดินมานั่งสมาธิตรงหน้าพระพุทธบาท ตอนนั้นยังไม่ได้บูรณะเน้อ
ก็มีเสียงที่พระบาท เสียงมันนี่คล้ายๆ เสียงกัดไม้จากพระพุทธรูปยืนนี่
เสียงกัดไม้แรงๆ ก๊ก พอกลับจากนี่ปุ๊บ ก็ไปอยู่ตรงหน้าของพระบาท
เราก็นั่งสมาธิหน่อย มันมีเสียงอะไรก็เลยไม่สนใจนะ ไม่สนใจมันก็กัดดังขึ้นไปอีก
ดังขึ้นอีก โอ๊ย ! จะทำอย่างไรตอนนั้นเพิ่งทำภาวนาใหม่ๆ ทำได้ปีสองปี
ก็เลยนั่งสมาธิ ข้างหนึ่งก็จับไฟฉาย พอเสียงดัง ปุ๊บ ปุ๊บ
ลืมตาเปิดไฟฉายเสียงมันก็หายไป ฉายไฟดูก็ไม่เห็นอะไร
ตอนหลังพอมาเจองู งูเยอะเลย เลื้อยไปมาแถวพระบาท ภาวนาบ่ค่อยสงบ
พอขึ้นมาสวดมนต์ สวดไปสวดไปเดี๋ยวงูตกลงมาจากเพดานลงมาตรงหน้า
เราก็สวดไป สวดไปมันก็เลื้อยหายไป ตอนนั้นจิตมันกลัวงู
ต่อมาสวดมนต์แล้วนั่งสมาธิ ก่อนจะนั่งสมาธิก็สำรวจรอบๆ รอยพระบาทก่อน
ครั้งแรกดูงูก็ไม่เห็น ตอนนั่งสมาธินั่งไปได้นาน พอเสร็จจากสมาธิจะกลับไปพักผ่อน
เราก็ลุกขึ้นยกผ้าปู โอ้ย ! งูอยู่พื้นอาสนะที่เรานั่ง พอมาอีกวัน เราก็สำรวจดูไม่มี
พอนั่งสมาธิไป จิตมันก็ไปอยู่ที่งูน่ะ เอ๊ะ ! มันบ่มาหนอ
พอออกจากสมาธิ ลืมตาก็เห็นมันอยู่ตรงหน้า ก็เลยว่าเป็นเทวดารักษาที่นี่
เทวดารักษารอยพระบาทที่เป็นตัวตนบ่มี มันมีในวิหารหลังนี้ในวิหารหลังเก่านี่
ที่นี้นั่งสมาธิแล้วเราก็กลับไปโน่น แล้วตอนกลางคืนตกดึกๆ
นั่งสมาธิอยู่ก็เห็นคล้ายๆ คนนุ่งขาว ห่มขาว ผมยาว เป็นผ้าขาวน่ะ
โน่นอยู่ในวิหาร เป็นผู้ชายนะ มันเน่า มันเละหมด อยู่ในวิหาร
ที่นี้มันก็ค่อยๆ โอ๊ย ! ทำไงดี อิติปิโสนี่ไม่ออกเลย ทีแรกอิติปิโสนี่ไม่ได้
พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ นี่บ่ได้ ก็เลย สัพเพสัตตา เหลือแค่ สัพเพสัตตา
สัพเพสัตตา จับน้ำน่ะ เตรียมน้ำมาหยาด พอหยาดมันก็ออก
ทีแรกมันคล้ายๆ มาสู้กับเราน่ะ ว่าเราจะไปสู้ คล้ายๆ จะมาไล่เรา มาอะไรเรา
พอตอนเช้ามีชาวบ้านเข้ามาถาม เขาจะมาถามบ่อย
เพราะส่วนมากพระที่มาอยู่เจออะไรดีๆ แล้วจะหนีไป
ที่นี้เขาถามว่าวันนั้นเป็นยังไงบ้าง ก็เลยบอกเขาว่า
เอ๊ะ ! ตอนกลางคืนมันมีผ้าขาวอยู่ในวิหารหลังนี้
แล้วที่นี้มันลอยไปเน่าเหม็นอยู่ในวิหารหลังนี้
ชาวบ้านเขาเลยบอกว่า โอ๊ย ! แต่ก่อนประมาณสัก ๔๐ ปี
นี่มีผ้าขาวมาปฏิบัติอยู่นี่คนหนึ่ง ปฏิบัติอยู่นี่ เป็นคนแก่
แล้วก็ปฏิบัติอยู่ในวิหารแล้วตาย ชาวบ้านเขามาเจอ ก็เน่าแล้ว
เออ ! มันก็เป็นปู่ที่นี่ คนนี้ล่ะตอนกลางคืนน่ะเฝ้าโบสถ์
เคยมีพระมาอยู่มาจำพรรษา ชาวบ้านมาบวชเป็นพระที่อยู่ข้างล่างตีนเขา
ท่านมาบวชจำพรรษา แล้วท่านปวดท้อง ท่านอยู่ไม่ได้ ก็เลยลงไปข้างล่าง
ไปโรงพยาบาล แล้วก็เสียชีวิต ไปเสียข้างล่างโน้นแล้วก็อันนี้มาเจออยู่พักหนึ่ง
หลังจากผ้าขาวนั่น ตานี้ท่านก็มา ท่านมาขอให้ช่วยสรงน้ำให้
ท่านจะนั่งอยู่ตรงหน้าวิหารหลังเก่า แล้วก็มาขอให้สรงน้ำให้ท่าน ท่านมีโอ่งน้ำ
แล้วท่านจะนุ่งแต่ผ้าอาบน้ำฝน ท่านนั่งยองๆ ขอให้เราตักน้ำรดให้ท่าน
เราตักน้ำอาบให้ท่าน อาบให้ท่านอันนี้ไม่เป็นไร เวลาท่านนุ่งผ้า ท่านก็เดินกลับไป
เราก็ถามชาวบ้านว่า เคยมีพระอยู่นี่บ่ แล้วก็มีปานดำตรงข้าม
ชาวบ้านบอกมี แล้วก็เป็นญาติกับชาวบ้านที่อยู่ข้างบน
เขาบวชๆ แล้วให้อยู่เฝ้าที่นี่ บวชไม่นานก็ลงไปแล้วตาย นี่คนหนึ่ง
แล้วก็อีกคนหนึ่งนั้นอยู่ทางด้านหน้าโน่น ทำกระต๊อบเล็กๆ
อันนั้นตายแบบท้องกลม เรานั่งสมาธิอยู่ที่กุฏิ ก็ขึ้นไปบนบ้าน
เราเดินไปหน้าโน่น ขึ้นบนบ้าน บ้านหลังเล็กๆ ได้เห็นผู้หญิง
ได้ยินเสียงผู้หญิงมันร้อง ร้องเจ็บร้องปวด
ขึ้นไปเห็นผู้หญิงมันปวดท้อง มันกำลังจะเกิดลูก หน้ามันลายน่ะมีตุ้ม
มีอะไรน้อ สมัยนั้นน่ะ โอ๊ย ! คิดไปใจไม่ดี มันจะเกิดลูก
พอขึ้นไปก็ไม่รู้จะทำยังไง พอมันเบ่ง มันเบ่งไม่ออกมันก็ตาย ดิ้นตาย
ก็เลยบอกเขามีบ๊อ แม่ยิง (หมายถึงผู้หญิง) ที่ท้อง…ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ มีบ๊อ…
ชาวบ้านเขาก็บอกว่า แต่ก่อนมาทำตูบเล็กๆ อยู่ (กระต๊อบ)
แล้วพอท้องก็ตายท้องกลม ก็คนนี้พอพ้นไปล่ะ
จากผ้าขาวเราแผ่เมตตาไปล่ะ เราแผ่เมตตาให้แล้ว
ก็หลวงพ่อเราแผ่เมตตาให้แล้วก็ไปล่ะ แล้วตายท้องกลม เราแผ่เมตตาไปแล้วก็ไปล่ะ
แล้วก็อยู่ตรงนี้ ตรงนี้ก็แผ่เมตตาไปล่ะ ตรงนี้ตาย ๒,๐๐๐ ศพ แต่พวกนี้ไปล่ะ
แล้วก็เหลืออยู่อันเดียว แผ่เมตตาให้ไม่ได้ที่เฝ้ารอยพระบาทตอนนี้ยังเฝ้าอยู่
เป็นคล้ายๆ กึ่งยักษ์กิ่งเทวดา โอ๊ย ! นิมิตแสงสว่างขึ้นตรงนี้ ทีแรกไม่สนใจ
นึกว่าใครเอาไฟฉายส่องตรงหน้าเรา เอ๊ะ ! บ่ใช่ แต่ส่วนมากจะขึ้นข้างๆ มากกว่า
แต่บางทีก็มีโยมเห็น บางครั้งก็เป็นรูปดวงไฟใหญ่ๆ ลอยขึ้นพระบาท แต่ไม่รู้นะ
ถ้ามีพิธีอะไรใหญ่ๆ นะ เราทำพิธิใหญ่ๆ มาไหว้สวดพร้อมกันเยอะ อย่างงานประจำปีใหม่
งานสรงน้ำนี่ เรามาไหว้มาสวดตอนกลางคืนน่ะ จะเห็นเป็นรูปสีเขียว สีอะไรที่ลอยขึ้นมา
ก็ชี้ๆ ให้เขาดู พองานสรงน้ำประจำปี วันเพ็ญเดือน ๔ ก็เสียสละ
แต่ก่อนมาอยู่ใหม่ๆ ก็สละแบบยอมถวายชีวิตล่ะ
ขอให้พระพุทธบาทสี่รอยนี้ได้เปิดให้คนได้รู้จักลือชา ปรากฏให้คนมากราบไหว้ก็ดี
บ่หวังเอายศเอาหยังอะไรสักอย่าง เอาลาภสักการะสักหยั่ง ก็เสียสละไปได้แบบนี้
เราทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ เปิดไปก็ดีหมด แต่ก่อนนี้พอออกแรง ต้องถาง
ถางคนเดียวหมด ต้องถางหญ้า ฟันหญ้า ส่วนมากจะมานั่งสมาธิตอนกลางคืน
พอมาถึงจุดนี้ก็ดีน่ะ อยากให้เป็นวัดพระพุทธศาสนา
ให้พอควร ให้สะดวกก็พอล่ะ หมู เป็ด ไก่ บ่ต้องกิน ต่อไปนี้ไหว้พระสวดมนต์
ไหว้พระบาท ถือศีล ก็สบายละ ช่วงที่ถวายวันนั้น ก็มีลม มีพายุพัดที่พระบาท
โอ้ย ! แรงพวกนี้มันหมดไปล่ะ เหลือแต่ที่สูงสูงน่ะเฝ้าพระบาท พวกนั้นหมดไปล่ะ
[ภายในวิหารเล็กของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี อยู่ด้านข้างทางขึ้นสู่พระวิหารฯ]
• กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนรอยพระพุทธบาทสี่รอย
เป็นโบราณวัตถุ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๖
วัดพระพุทธบาทสี่รอย เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สัปปายะ เงียบ สงบเย็น
ร่มรื่นเป็นธรรมชาติ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการไปปฏิบัติธรรม เจริญจิตภาวนา
วัดนี้อยู่กลางหุบเขาป่าลึกสูงชัน จากตัวอำเภอแม่ริมจนถึงวัดพระพุทธบาทสี่รอย
มีระยะทาง ๕๐ กิโลเมตร ถือเป็นวัดที่มีปูชนียสถานสำคัญทางประวัติศาสตร์
พระพุทธบาทสี่รอย สถานที่ประทับรอยพระพุทธบาทพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์
คือ พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคมโณสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระกัสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า
ลงบนมหาศิลาเปรต ซึ่งมหาศิลาเปรตกำลังรอพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้
และจะได้หมดกรรมเกิดเป็นเทวดาฟังธรรมจากพระศรีอริยเมตไตรยต่อไป
สถานที่แห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง เป็นที่ปฏิบัติอธิษฐานจิตของหลายๆ ท่าน
เช่น ครูบาศรีวิชัย, พระนางเจ้าดารารัศมี
(พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕)
และพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นต้น
ครูบาพรชัยท่านได้เริ่มบูรณะพระวิหารเจ้าดารารัศมี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๖
และได้เริ่มก่อสร้างพระอุโบสถจตุรมุข มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐
สำเร็จในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ ๙ ปีเศษ
และเมื่อวันที่ ๑๓-๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้มีพิธีสมโภชพระอุโบสถจตุรมุข
ชั้นเดียว กว้าง ๓๕ เมตร ยาว ๓๕ เมตร ใช้ทุนทรัพย์ทั้งสิ้น ๔๐.๑ ล้านบาทเศษ
เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสังฆกรรมของพระภิกษุสงฆ์
พิธีบรรพชา-อุปสมบท เพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
ดังนั้น เพื่อรักษาจารีตประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของล้านนา
ทางวัดจึงได้มีพิธีสมโภชพระอุโบสถจตุรมุข เริ่มจากวันจันทร์ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๔๙
ตรงกับวันเดือน ๖ เหนือ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ศรัทธาศาสนิกชนร่วมกันเดินถวายเป็นพุทธบูชา
แห่พระพุทธรูป ลูกนิมิต น้ำสรงพระราชทานจากอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ณ วัดหนองก๋าย
ต.สันป่ายาง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. ขึ้นสู่วัดพระพุทธบาทสี่รอย
รุ่งเช้าวันอังคารที่ ๑๔ มีนาคม พิธีทำบุญตักบาตรพระภิกษุสามเณร
เวลา ๐๙.๔๙ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์สืบชาตา
เวลา ๑๐.๔๙ น. ถวายน้ำสรงพระราชทานรอยพระพุทธบาทสี่รอย
เสร็จแล้วร่วมกันถวายภัตตาหารเพล และคณะศรัทธาร่วมรับประทานอาหารกลางวัน
เวลา ๑๓.๐๐ น. ศรัทธาสาธุชนร่วมแสดงมุทิตาจิตแด่พระครูพุทธบทเจติยารักษ์
ในโอกาสได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์พัดยศเป็นพระครูสัญญาบัตร
ภาคค่ำมีพิธีอบรมสมโภช มหาพุทธาภิเษกตลอดทั้งคืน ระหว่างวันที่ ๑๓-๒๑ มีนาคมนี้
ปัจจุบันถนนทางขึ้นพระพุทธบาทสี่รอย
ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่เป็นถนนคอนกรีตระยะทางประมาณ ๑๘ กิโลเมตร
ในการก่อสร้างได้รับเงินจากพุทธบริษัทผู้มีจิตศรัทธาบริจาค
และเงินงบประมาณของทางราชการจนแล้วเสร็จ
กล่าวกันว่า การบูรณะพระพุทธบาทสี่รอยในครั้งนี้
ครูบาพรชัยท่านไม่ได้ทำการบอกบุญ แต่ได้อาศัยบารมีของพระพุทธบาท
และคำอธิษฐานบอกกล่าวเทพเทวาว่า จะสร้างโบสถ์ ก็เป็นไป “ต๋ามหน้าบุญเต๊อะ”
คือ มีก็ฉัน ไม่มีก็ไม่ฉัน มีก็เอา ไม่มีก็ไม่เอา ใครจะมาทำบุญก็มา
โดยขออธิษฐานจากครูบาเจ้าศรีวิชัย เทพเทวา โดยไม่วุ่นวาย ไม่ต้องยึดติดกังวลทั้งปวง
[ครูบาพรชัย ปิยวัณโณ ในพระอุโบสถวัดพระพุทธบาทสี่รอย พ.ศ. ๒๕๕๑]
ที่มา (๑) “พระพุทธบาทสี่รอย” : วัดพระพุทธบาทสี่รอย จ.เชียงใหม่,
จัดพิมพ์ขึ้นเผยแพร่เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศล
ในวโรกาสมหามิ่งมงคลพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๔ พรรษา,
จัดพิมพ์โดย กองทุนดอกบัวกลางน้ำ, พิมพ์ครั้งที่ ๓๔, พ.ศ. ๒๕๕๐, หน้า ๒๕-๒๖
(๒) หนังสือพระพุทธบาทสี่รอย จัดพิมพ์โดย บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
ภาพนำมาจากเว็บธรรมจักร www.dhammajak.net